ธอร์ (Thor) คือหนึ่งในซูเปอร์ฮีโรของมาร์เวล (MARVEL) ที่ผู้คนชื่นชอบ เขามีทั้งพลังสายฟ้าและอาวุธสุดเท่อย่างโยเนียร์และสตรอมเบรกเกอร์ที่ใคร ๆ ต่างก็อยากครอบครอง ยิ่งผนวกกับเคมีการแสดงของ คริส เฮมส์เวิร์ธ (Chris Hemsworth) และ ทอม ฮิดเดิลสตัน (Tom Hiddleston) แล้ว ก็ยิ่งดึงดูดให้ผู้คนหลงรักแฟรนไชส์มหาเทพนอร์ส (Norse mythology) เหล่านี้ต่อไป

ธอร์และโลกิ

แต่ก็อย่างที่เราทราบกันดี ในตอนที่จักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล (MCU) ก่อร่างสร้างตัวใหม่ ๆ ธอร์เป็นเพียงฮีโรระดับรอง ความนิยมในหนังรวมก็แพ้ทั้ง กัปตันอเมริกาและไอร์ออนแมน พอมาหนังเดี่ยวตัวเองก็โดนน้องชายตัวดีอย่างโลกิแย่งซีนไปหมด ซ้ำร้ายหนังเดี่ยว 2 ภาคแรกที่ทำออกมาในโทนมืดมนยังได้รับคำวิจารณ์ไม่ดี จนขนาดผู้สร้างอย่างมาร์เวลเองก็ถึงกับกุมขมับในจุดนี้

ในขณะที่หนัง Thor กำลังมองหาทิศทางใหม่อยู่นั้น แฟรนไชส์หนังก็ได้รับการต่อลมหายให้กลับมายืนแถวหน้าอีกครั้ง ด้วยฝืมือของผู้กำกับอย่าง ไทกา ไวทีที (Taika Waititi)

ไทกา ไวทีที

ไทกา ไวทีที เกิดเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 1975 เขาเป็นทั้งผู้กำกับและนักแสดงมากฝีมือชาวนิวซีแลนด์ ผลงานของเขามีเอกลักษณ์ที่ความตลกร้ายสุดเจ็บแสบแบบหน้าตาย เขามีนามปากกาอีกชื่อว่า ไทกา โคเฮน (Taika Cohen) สำหรับงานเขียน (โคเฮน เป็นนามสกุลของแม่) และไทกา ไวทีที สำหรับงานในเชิงทัศนศิลป์ (ไวทีที  เป็นนามสกุลของพ่อ ) หลังจากหนังสั้นเรื่องแรกของเขาประสบความสำเร็จ เขาจึงใช้ชื่อ ไทกา ไวทีที เรื่อยมา

ขณะที่เป็นนักศึกษา ไวทีทีได้ร่วมเป็นหนึ่งในกลุ่มนักแสดงตลก ‘So You’re a Man’ ซึ่งช่วงเวลานี้เองเป็นหนึ่งในช่วงชีวิตที่ช่วยลับสกิลมุกสุดจี้เส้นของเขา และนั่นทำให้เขาสนใจในศาสตร์ของการแสดงไปด้วยพร้อมกัน โดยไวทีทีเองก็สนใจศาสตร์ของศิลปะแขนงต่าง ๆ และนั่นทำให้เขาค้นพบว่าตนเองอยากริเริ่มสร้างผลงานภาพยนตร์ขึ้นมา

ต่อมาไวทีทีก็สร้างหนังสั้นเรื่อง Two Cars, One Night (2003) ออกมา โดยผลงานนี้ก็มีดีกรีถึงขนาดที่ได้รางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์สั้นยอดเยี่ยมมาครอง และเป็นการจุดประกายให้ผู้คนเริ่มรู้จักผู้กำกับนาม ไทกา ไวทีที นับแต่นั้น

หนังสั้นเรื่อง Two Cars, One Night (2003)

หลังจากนั้นไวทีทีก็เป็นที่รู้จักในนิวซีแลนด์ เขาข้องเกี่ยวกับงานในสื่อบันเทิงมากมาย ทั้งเขียนบท กำกับ และร่วมแสดงเอง เรียกได้ว่าเขาบ่มเพาะสกิลที่มีมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกแขนง ไวทีทีได้โอกาสร่วมแจมงานต่าง ๆ และผู้คนทั่วโลกก็เริ่มคุ้นหน้าคุ้นตาเขาจากบท โทมัส คาลมาคู ในหนังซูเปอร์ฮีโรของ DC เรื่อง ‘Green Lantern’ ที่ทำให้แฟนหนังเริ่มจดจำเขาได้จากเรื่องนี้ (ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่อยากจำก็ตามที) แต่การได้แสดง Green Lantern ก็ทำให้เขาได้ชิมลางกับหนังซูเปอร์ฮีโร ที่จะทำให้เขาได้ต่อยอดต่อไปในอนาคต

ไทกา ไวทีที ในหนังเรื่อง Green Lantern

ปี 2014 ไวทีที ได้เข็นหนังเรื่อง What We Do in the Shadows ออกมา โดยเป็นภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับแวมไพร์ที่อาศัยอยู่ในบ้าน ซึ่งเขาก็ร่วมเขียนบท กำกับ และแสดงในหนังเรื่องนี้ด้วย จนเขาติดใจที่จะไปแสดงในหนังแทบทุกเรื่องที่ตัวเองกำกับ และ What We Do in the Shadows เองก็ถูกอกถูกใจนักวิจารณ์มากจนทำให้ไวทีทีมีโอกาสได้ร่วมงานกับโปรเจกต์ใหญ่อีกมากมาย

What We Do in the Shadows

ต่อมา ไวทีที ก็ได้โอกาสร่วมงานกับดิสนีย์ในฐานะหนึ่งในผู้เขียนบทแอนิเมชันเรื่อง Moana (2016) ซึ่งบทที่เขาเขียนขึ้นมานั้น ใส่เรื่องความหลากหลายทางเพศเข้ามาด้วย ถึงแม้ว่าบทของเขาจะถูกดิสนีย์ปัดตกอย่างน่าเสียดาย แต่เขาก็ยังคงหวังว่าจะได้นำเสนอประเด็นเรื่องความหลากหลายทางเพศออกมาในหนังตัวเองซักเรื่องหนึ่ง และในระหว่างนั้นก็มีคนหยิบยื่นโอกาสบางอย่างให้กับไวทีที

กลับมาที่ฝั่งมาร์เวล ในขณะนั้นพวกเขาก็กำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียดถึงทิศทางใหม่ในภาคที่ 3 ของแฟรนไชน์เทพเจ้าสายฟ้านี้ ซึ่งนี่ก็เป็นการเปลี่ยนผู้กำกับหนที่ 3 แล้วล่ะ เรียกได้ว่าถ้าผู้กำกับยังทำงานออกมาได้ไม่ดี ก็อาจปิดประตู Thor ไปตลอดกาลเลยก็ได้ มาร์เวลจึงต้องเฟ้นหาผู้กำกับมากหน้าหลายตาอย่างจริงจัง แต่ก็ยังไม่เจอคนที่ถูกใจเสียที จนกระทั่งวันหนึ่งชายผู้ชื่อ ไทกา ไวทีที ได้เดินเข้ามาบอกเล่าถึงโปรเจกต์นี้

‘หนังเรื่องนี้ มันอยู่ในหัวของผมมาทั้งชีวิต’ 

ไม่ว่าเขาจะพูดจริงหรือโม้ แต่เพียงแค่นั้น ก็ช่วยให้ทีมบริหารของมาร์เวลสนใจว่าหมอนี่เป็นใครกัน และเริ่มตั้งใจฟังสิ่งที่ไวทีทีกำลังจะนำเสนอ ซึ่งไวทีทีตั้งใจจะรีบูทภาพยนตร์เรื่อง Thor โดยปรับเปลี่ยนโทนหนังใหม่ให้สดใสกว่าเดิม พร้อมทั้งเพิ่มความฉูดฉาดและเพี้ยนกว่าที่เคยเป็นมา ซึ่งในขณะนั้น เควิน ไฟกี (Kevin Feige) หัวเรือใหญ่ของมาร์เวลสตูดิโอก็ดันถูกใจไวทีทีเข้าให้ และไม่นานเขาก็เลือกไวทีทีให้เป็นผู้กุมชะตาของภาพยนตร์ภาคที่ 3 ของ Thor

“พวกเขาให้อิสระผมมากกว่าที่คิด” 

ไวทีทีรู้สึกโชคดีมากที่มาร์เวลปล่อยให้ไวทีทีได้ทำตามใจ ซึ่งถือว่าเป็นการตัดสินใจอันบ้าบิ่นของไฟกีที่อยากเดิมพันกับผู้กำกับหน้าใหม่ผู้ไม่เคยกำกับหนังสเกลยักษ์ใหญ่มาก่อน แต่ไฟกีก็หมายมั่นว่าเมื่อหนังเข้าฉาย มันจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับ Thor ได้

ในกระบวนการทำงาน ไวทีทีได้เข้ามารื้อโครงสร้างเดิม ๆ ของหนัง Thor ออกไป เขาพาธอร์ออกไปโลดแล่นในการเดินทางใหม่ ๆ เพิ่มงานศิลป์ที่งดงามลงในฉาก เติมสีสันที่ฉูดฉาดลงในหนัง และใช้อารมณ์ขันเพื่อดึงให้มันกลายเป็นหนังมาร์เวลอย่างสมบูรณ์

ซึ่งไวทีทีก็ทราบดีว่านักแสดงของเขาทุกคนนั้นมีอารมณ์ขันอยู่ในตัว และเขาก็มีวิธีสุดบ้าระห่ำเพิ่อเพิ่มความตลกขบขันให้กับหนัง

“ผมให้ทุกคนเก็บมุกตลกไว้ให้นานที่สุด เข้าฉากเมื่อไหร่ก็เล่นมันออกมาสด ๆ นั่นแหละ”

ด้วยการนี้มุกที่ออกมาในหนังจึงดูเรี่ยราดและสดใหม่ เพราะนักแสดงทุกคนต้องการจะปล่อยของที่ตัวเองมีอยู่ตลอด บังเกิดเป็นหนังธอร์ที่มีความฮาออกมาแบบไม่บันยะบันยัง และพาแฟรนไชส์ให้กลับมาสดใหม่อีกครั้ง 

เมื่อหนังเข้าฉายก็เป็นอย่างที่ทุกคนทราบหนัง ธอร์ภาคที่ 3 หรือ Thor: Ragnarok นั้น อุดมไปด้วยมุกตลกขบขันที่บ้าคลั่ง นำพาตัวละครธอร์ให้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง พร้อมกันนั้นยังเป็นการส่งต่อตัวละครของธอร์ ให้ได้เติบโตกว่าเดิมใน infinity War และ Endgame จนเทพเจ้าสายฟ้านั้นโด่นเด่นและแย่งซีนใคร ๆ อย่างเหลือเชื่อ เรียกได้ว่าผลงานการีบูตทิศทางใหม่ของธอร์นั้นออกมาดีมาก จนนักแสดงหลักอย่าง คริส เฮมส์เวิร์ธ ติดอกติดใจพร้อมจะรับบทนี้ต่อไปอย่างยาว ๆ เลยล่ะ

ต้องขอบคุณเควิน ไฟกีที่มองเห็นถึงศักยภาพของไวทีที กล้าตัดสินใจให้ผู้กำกับจากนิวซีแลนด์คนนี้พลิกโฉมแฟรนไชน์เทพเจ้าสายฟ้าจนกลับมาเป็นที่นิยมได้อีกครั้ง หลังการเข้าฉายของ Thor: Ragnarok ไวทีทีก็โด่งดังกว่าเดิม เขาไปได้ดีกับหนังสายรางวัลอย่าง Jojo Rabbit และได้เข้ามาคุมโปรเจกต์ Star Wars พร้อมกันนั้นยังรับตำแหน่งโปรดิวเซอร์งานต่าง ๆ พร้อมพ่วงตำแหน่งผู้กำกับ Thor: Love and Thunder ด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะผู้กลายเป็นผู้กำกับแถวหน้าของฮอลลีวูดไปเรียบร้อยแล้ว

อ่านต่อ: [รีวิว] Thor Love and Thunder – โบ๊ะบ๊ะ โคตรบ้า ครบเครื่อง

ที่มา: Taika_Waititi, stuff, movieweb, screenrant.com, cinemablend, collider, looper

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส