การจะได้เป็นศิลปินนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และการจะทำให้การเล่นดนตรีเป็นอาชีพและสร้างรายได้ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน ศิลปินดังหลายคนกว่าจะมาอยู่ในจุดที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ก็ต้องหาเลี้ยงปากท้องหรือทำมาหาเลี้ยงชีพเพื่อหล่อเลี้ยงความฝันของตัวเอง เรื่องราวของเหล่าศิลปินดังต่อไปนี้และอาชีพของพวกเขาก่อนที่จะมามีชื่อเสียงบนเส้นทางสายดนตรีอาจทำให้เพื่อน ๆ ต้องประหลาดใจไม่น้อยเลยทีเดียว

Kurt Cobain – ‘ภารโรง’

เคิร์ต โคเบน (Kurt Cobain) ฟรอนต์แมนแห่งวงกรันจ์ระดับตำนาน ‘Nirvana’ เคยทำงานเป็นภารโรงของ ‘Lemon’ บริษัทที่ให้บริการทำความสะอาดมาก่อน เป็นเรื่องแปลกและน่าประหลาดใจไม่น้อย หากลองจินตนาการถึงหนุ่มร็อกคนนี้ที่วางกีตาร์และหันมาจับไม้ถูกพื้นแทน

ที่ผ่านมาโคเบนเป็นคนที่มีความขยันขันแข็งและมุ่งมั่นอุทิศตนอย่างไม่หยุดยั้งในการทำให้วง Nirvana บรรลุเป้าหมายทางดนตรีที่ตั้งใจ การดั้นด้นบากบั่นในช่วงแรกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าที่พวกเขาจะได้สัญญากับ Sub Pop ค่ายเพลงในซีแอตเทิล ซึ่งทำให้พวกเขาอยู่บนเส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง

ในตอนนั้นโคเบนหางานทำหลาย ๆ  งานเพื่อเป็นเงินทุนในการบันทึกเสียงอัลบั้มของ Nirvana ซึ่งหนึ่งในงานที่เขาทำก็คือเป็นภารโรงที่โรงเรียนเก่าของเขาที่โรงเรียนมัธยมอเบอร์ดีน และเช่าแฟลตที่ถนนเอ็น. มิชิแกน เพื่ออยู่อาศัยและใช้มันในการเขียนเพลงยามว่างจากงาน

“นี่คือชายคนหนึ่งที่ไม่เคยทำความสะอาดห้องครัวของเขา ไม่ทิ้งขยะ หรือทำงานบ้าน แต่ เคิร์ต โคเบน ไม่ใช่คนขี้เกียจ” คริส โนโวเซลิก (Krist Novoselic) มือเบส Nirvana เล่า “แต่แล้วเขาก็มาทำความสะอาดห้องน้ำ นั่นคือวิธีที่เขาหาเงินเพื่อมาเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการทำเดโมของพวกเรา”

ถ้าไม่นับถึงประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของเพลง และลองคิดเล่น ๆ ดู ดูเหมือนว่า “Smells Like Teen Spirit” อาจเป็นเพลงที่เชื่อมโยงงานภารโรงและโลกดนตรีของโคเบนได้เป็นอย่างดี ดังภาพในเอ็มวีที่เปิดด้วยภาพของวงที่กำลังบรรเลงดนตรีต่อหน้าวัยรุ่นหนุ่มสาว โดยมีภารโรงชราคนหนึ่งกำลังทำหน้าที่ของตน บทเพลงนี้เป็นดั่งรางวัลของความพากเพียรและมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ ในวันที่กลิ่นกายของวัยรุ่นเลือดร้อนผู้มีใจรักในเสียงดนตรีผสานไปกับกลิ่นเหม็นของห้องน้ำอักสกปรก เขาได้ชำระล้างคราบเกรอะกรังเหล่านั้นไปพร้อมกับการทำจิตใจให้สว่างใสและพร้อมที่จะก้าวไปสู่การเป็นนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต

Courtney Love – ‘นักเต้นระบำเปลื้องผ้า’

ได้รู้เรื่องราวของเคิร์ต โคเบนไปแล้ว เรื่องราวของ คอร์ตนีย์ เลิฟ (Courtney Love) แฟนสาวของโคเบนก็น่าสนใจไม่แพ้กันเลย

เลิฟเคยเล่าเอาไว้ว่าในช่วงเวลาที่เธอถูกไล่ออกจากวง ‘Faith No More’ เป็นเหมือนพรในชีวิตของเธอ ในช่วงเวลาหลายปีให้หลังจากที่เธอออกจากวง พวกเขาก็พุ่งทะยานด้วยการมีเพลงฮิตจากซิงเกิล “Epic” ในปี 1990 แต่เลิฟกลับต้องทำงานเป็นนักเต้นระบำเปลื้องผ้าอยู่ที่ Jumbo’s Clown Room ในฮอลลีวูด ในขณะที่กำลังทำวง ‘Hole’ วงร็อกพลังหญิงของเธอด้วย การได้ฟังเพลงขณะที่เธอกำลังเต้นรำไปด้วย ทำให้เธอมีแรงจูงใจที่จะทำให้วงดนตรีของเธอประสบความสำเร็จ

“การถูกไล่ออกจากวงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับฉัน” เลิฟกล่าว “ พวกเขามีเพลงฮิตอันดับ 1 ‘Epic’ ในขณะที่ฉันต้องถอดเสื้อผ้า … และมันทำให้ฉันโมโหมากในเวลาที่ต้องถอดมันออก มันทำให้ฉันตั้งใจ และมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะทำให้ตัวเองก้าวหน้าต่อไปและสู้ด้วยกันเพื่อวงดนตรีของฉัน”

“การเต้นระบำเปลื้องผ้าทำให้ฉันมีเงินมาสนับสนุนวงดนตรีของฉัน สมัยนั้นมีสิ่งล่อใจมากมายในเรื่องของยาเสพติด ฉันก็คิดของฉันนะว่า โอเค ถ้าฉันทำเงินได้ถึงหนึ่งล้านดอลลาร์เมื่อไหร่ ฉันจะใช้ยาทั้งหมดเท่าที่ฉันต้องการเลยล่ะ ซึ่งจริง ๆ ตอนนี้ฉันได้ทำอย่างที่พูดไปแล้วล่ะ”

Ozzy Osbourne – ‘พนักงานโรงฆ่าสัตว์’

ก่อนที่เขาจะกลายเป็นเจ้าชายแห่งความมืด ไอคอนแห่งวงการเฮฟวีเมทัล ในปี 1964 ออซซี ออสบอร์น (Ozzy Osbourne) ในวัย 16 ปีที่ป่วยเป็นโรคดิสเล็กเซีย (ภาวะผิดปกติทางด้านการอ่าน และการเรียนรู้ภาษา) ต้องการหางานทำอย่างมาก เขาเคยทำมาแล้วทั้งงานก่อสร้าง เด็กฝึกงานของช่างประปา และทำงานในโรงงานผลิตรถยนต์ และสุดท้ายก็มาจบลงด้วยการทำงานในโรงฆ่าสัตว์ในเบอร์มิงแฮม และสถานที่แห่งนี้ก็เป็นเสมือนเวทีในการฝึกหัดเด็กชายออซซีให้กลายเป็นคนมีชื่อเสียงในการกัดหัวค้างคาวบนเวที กินนกพิราบเป็น ๆ และสูดดมฝูงมด !

สาเหตุที่ออซซีเลือกทำงานนี้ไม่ใช่เป็นเพราะตัวงานเองหรอก แต่เป็นเพราะชั่วโมงการทำงานนั่นเอง ออซซีเล่าว่างานที่เขาทำในแต่ละวันนั้นคือการนับจำนวนสัตว์ที่จะต้องนำไปฆ่าและแปรรูป และเมื่อเสร็จแล้วเขาก็จะสามารถกลับบ้านได้ “มันขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องฆ่าวัวกี่ตัว บางครั้งคุณก็กลับบ้านได้ภายในสามหรือสี่ชั่วโมง คุณจึงมีเวลาว่างที่เหลือ นี่มันดีกว่าการทำงาน 9 โมงถึง 5 โมงในสำนักงานซะอีก”

นอกจากนี้งานที่ทำยังทำให้ออซซีกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการชำแหละสัตว์ด้วยความสามารถพิเศษในการแล่เอากระเพาะวัวออกมาแช่น้ำข้ามคืน สิ่งหนึ่งที่ออซซียอมรับว่าเขาชอบตั้งแต่สมัยอยู่ในโรงฆ่าสัตว์ก็คือการเอาตาของวัวออกมาและแอบเอามันไปใส่ในเครื่องดื่มของพวกเด็กสาว ๆ ในบาร์ท้องถิ่นแล้วก็รอเวลาที่จะขำกลิ้ง

ถึงแม้ว่าออซซีจะไม่ได้ทานมังสวิรัติในทุกวันนี้ แต่เขาก็เชื่อว่าคนที่ชอบกินเนื้อทั้งหลายควรจะได้มาเยือนโรงฆ่าสัตว์บ้างสักครั้ง เพื่อที่จะได้ดูว่าพวกสัตว์ที่พวกเราทานกันเข้าไปนั้นถูกปฏิบัติอย่างไร และถึงแม้เขาจะงับหัวค้างคาวกลางเวทีแต่ทุกวันนี้เขาก็ประกาศตัวว่าเป็นคนรักสัตว์คนหนึ่งนะ “ผมเคยฆ่าสัตว์เพื่อเตรียมมาทำเป็นอาหารถ้ามันจำเป็น แต่ทุกวันนี้ผมไม่ทำมันอีกแล้ว ผมเป็นคนรักสัตว์นะ ผมมีหมากว่า 17 ตัวเลยนะเฮ่ย !” ใช่แล้วออซซีเป็นคนรักสัตว์นอกจากหมา 17 ตัวที่เขาและชารอนภรรยาของเขาได้เลี้ยงเอาไว้ ทั้งคู่ก็ยังเลี้ยงแมวอีก 2 ตัวคือเจ้า ‘โม-โม’ และ ‘พุสส์’

Rod Stewart – ‘คนขุดหลุมฝังศพ’

ก่อนที่เขาจะกลายเป็นนักร้องชื่อดัง ร็อด สจ๊วต (Rod Stewart) เคยทำงานมาแล้วหลายอย่าง หลังจากที่เขาลาออกจากโรงเรียนตอนอายุ 15 สจ๊วตทำงานเป็นคนพิมพ์วอลเปเปอร์ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แปลกอยู่เหมือนกันเพราะเขานั้นตาบอดสี นั่นทำให้ในเวลาต่อมาเขาก็ถูกเลิกจ้างอย่างไม่ต้องสงสัย “หากคุณตาบอดสี สิ่งหนึ่งที่คุณไม่สามารถเป็นได้ก็คือนักบิน และสิ่งอื่นที่คุณไม่สามารถเป็นได้อีกก็คือนักออกแบบวอลเปเปอร์” สจ๊วตกล่าว

หลังจากนั้นสจ๊วตก็ไปทำงานอีกหลายอย่างทั้งประกอบกรอบรูป เป็นผู้ช่วยช่างไฟฟ้า และพ่อที่คลั่งไคล้ฟุตบอลของสจ๊วตก็ชักชวนให้เขาไปเป็นเด็กฝึกงานที่สโมสรฟุตบอลอาชีพด้วยความหวังว่าเขาจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพในสักวันหนึ่ง แต่สจ๊วตก็ลาออกเพราะเขาไม่ชอบที่จะทำความสะอาดรองเท้าของผู้เล่นในทีมในตอนเช้า

พอพ่อของเขาเกษียณ ครอบครัวก็เปิดแผงขายหนังสือพิมพ์ สจ๊วตก็ถูกบังคับให้เป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ ซึ่งก็เป็นงานที่เขาเกลียดอีกเหมือนกัน จนกระทั่งมาถึงงานอันเป็นที่กล่าวขานนั่นก็คือการเป็นคนขุดหลุมศพที่สุสานไฮเกต  ซึ่งเป็นงานชั่วคราวที่เขาไปช่วยคนอื่นทำเท่านั้นไม่ได้เป็นงานประจำแต่อย่างใด แต่ถึงอย่างนั้นการทำงานชั่วคราวไม่กี่ชั่วโมงที่สุสานนี้เองที่ตำนานอันโด่งดังของสจ๊วตได้ถือกำเนิดขึ้น และสจ๊วตเองก็ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับงานนี้มาบ้างอยู่เหมือนกัน  “มีอยู่สองสามเสาร์ที่ผมต้องไปที่สุสานไฮเกต หาเงินสองสามปอนด์ด้วยการวัดหลุมและทำเครื่องหมายด้วยเชือก ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับตัวเองและการใช้กำลังกาย และสิ่งที่ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองก็คือผมไม่ชอบงานที่ใช้กำลังเลย”

Art Garfunkel – ‘ครูสอนวิชาคณิตศาสตร์’

หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงจากผลงานในอัลบั้ม ‘Bridge Over Troubled Water’  อาร์ต การ์ฟังเกล (Art Garfunkel) หนึ่งในศิลปินดูโอโฟล์กระดับตำนานแห่งวงการดนตรี ‘Simon & Garfunkel’ ก็ได้มีโอกาสถอยหลังหนึ่งก้าวและหันมามองชีวิตของเขาใหม่อีกครั้ง มันเป็นช่วงต้นยุค 70s การ์ฟังเกลเพิ่งแต่งงานและย้ายไปอยู่ที่คอนเนตทิคัต ซื้อบ้านและใช้ชีวิตในชนบท ตอนนั้นเขาพยายามหันหลังให้กับอัตตาและความภูมิใจในชื่อเสียงที่ได้รับมาจากเส้นทางสายดนตรี ช่วงเวลานี้จึงเป็นเวลาพักผ่อนที่สำคัญในชีวิต การ์ฟังเกลตัดสินใจพักงานดนตรีและหาสิ่งใหม่ทำนั่นก็คือ “การสอนหนังสือ” อาชีพเล็ก ๆ แต่เปี่ยมไปด้วยความหมาย “การสอน” ได้ทำให้การ์ฟังเกลมีโอกาสพักและรีเฟรชตัวเอง ด้วยการเดินเข้าไปสมัครงานที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาลิทช์ฟิลด์ (Litchfield Preparatory School) ในคอนเนตทิคัต “ผมเดินเข้าไปสมัครงานในเดือนกันยายนในฐานะครูสอนวิชาคณิตศาสตร์” เขาเล่า “ผมใส่สูทผูกไท และเริ่มวางสามเหลี่ยมทั้งหลายบนกระดานดำ ช่วงเวลานั้นผมไม่เคยบอกเด็ก ๆ เลยว่า ‘ใช่ ครูนี่แหละเป็นคนที่มอบบทเพลง ‘The Sound of Silence’ ให้พวกเธอยังไงล่ะ’ ผมอยู่ที่นั่นเพื่อเรขาคณิตเท่านั้นเลย แต่เมื่อพวกเขาอยากรู้ ผมก็บอกพวกเขาว่าในวันสุดท้ายของชั้นเรียน เราจะมี Q&A กันและผมจะตอบคำถามเกี่ยวกับชีวิตบนเส้นทางดนตรีของผม”

“ผมมีความสุขที่ได้เป็นครู” การ์ฟังเกลกล่าว “ผมรักการที่ได้สอนหนังสือมาก ๆ เลย”

Jay Z – ‘พ่อค้ายาเสพติด’

นอกเหนือจากผลงานทางดนตรีแล้ว ความคิดทางธุรกิจยังเป็นสิ่งที่เราควรเรียนรู้จากมหาเศรษฐีแห่งวงการฮิปฮอปอย่าง เจย์ซี (Jay Z) ที่ปัจจุบันนอกจากทำเพลงแล้วเขายังเป็นเจ้าของธุรกิจมากมายทั้งไลน์เสื้อผ้า ค่ายเพลง เอเจนซี่ด้านกีฬา บริการสตรีมมิง แบรนด์สุราชั้นนำ และหุ้นส่วนประมาณหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของ Uber และล่าสุดเขายังจะเป็นผู้ค้ากัญชาผ่านธุรกิจสตาร์ตอัปที่ชื่อว่า ‘Monogram’

ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษที่ 80s เจย์ซีในช่วงชีวิตวัยรุ่น ได้เรียนรู้โลกของการทำงานผ่านการเป็นพ่อค้ายาตามท้องถนนในนิวยอร์กเพื่อขายโคเคน เขาบอกว่าการขายยาตามท้องถนนช่วยให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิตในภายหลัง “ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับงบประมาณ ผมเป็นพ่อค้ายา ในการจะตกลงเรื่องยาได้คุณจำเป็นต้องรู้ว่าจะจ่ายอะไรได้บ้าง ต้องซื้ออะไรกลับมาบ้าง” แรปเปอร์หนุ่มเจย์ซีกล่าว

“ในบางจุดคุณต้องมีกลยุทธ์ที่ดีในการหาทางหนีทีไล่ เพราะช่องทางของคุณนั้นมันมีขนาดเล็กจิ๋วมาก”

Kanye West – ‘ผู้ช่วยฝ่ายขายในร้าน Gap’

ก่อนที่จะเข้าสู่วงการในฐานะแรปเปอร์ที่ประสบความสำเร็จ คานเย เวสต์ (Kanye West) เคยทำงานเป็นผู้ช่วยฝ่ายขายที่แบรนด์เสื้อผ้าชื่อดัง ‘Gap’ ในเนื้อเพลงจากอัลบั้มเปิดตัวของเขา “The College Dropout” เขาเล่าว่าเคยขโมยของมาจากร้านนี้ด้วย แต่อย่างไรก็ตามแทนที่จะเรียกตำรวจมาใส่กุญแจมือ Gap ได้จับมือกับคานเยและ ‘Yeezy’ บริษัทแฟชั่นของเขาเพื่อวางขายเสื้อผ้าแนวใหม่ชื่อ ‘Yeezy Gap’ ซึ่งเปิดตัวไปในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2021 คานเยเคยบอกกับนิตยสาร The Cut ถึงความมุ่งมั่นของเขาว่า “ผมอยากเป็น Steve Jobs แห่งร้าน Gap ครับ”

หากคุณอยากฟังคานเยแรปเกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานในร้าน Gap ลองไปฟังได้ในเพลง “Spaceship” ที่เขาเล่าให้เราฟังว่า

“Let’s go back, back to the Gap

Look at my check, wasn’t no scratch

So if I stole, wasn’t my fault

Yeah I stole, never got caught”

David Bowie – ‘เด็กส่งเนื้อ’

แม้แต่กิ้งก่าเปลี่ยนสีแห่งวงการดนตรีร็อกอย่าง เดวิด โบวี (David Bowie) ก็มีเรื่องราวของการแสวงหาอาชีพเพื่อให้ได้มาซึ่งทุนรอนในการเข้าสู่โลกแห่งเสียงดนตรีที่เขาปรารถนา

ในช่วงยุค 60s โบวีน้อยในวัย 13 ปีได้หางานทำเป็นเด็กส่งเนื้อเพื่อเก็บหอมรอมริบไว้ใช้เป็นค่าเล่าเรียนแซ็กโซโฟนกับมือแซ็กระดับตำนานอย่าง รอนนี รอสส์ (Ronnie Ross) ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นอันสำคัญของการดำดิ่งสู่โลกแห่งดนตรีของโบวี

ใน 11 ปีให้หลังรอนนีและโบวีได้กลับมาพบกันอีกครั้ง เมื่อรอนนีเล่นแซ็กโซโฟนโซโลในเพลง “Walk On the Wild Side” ของ ลู รีด (Lou Reed) ซึ่งโปรดิวซ์โดย เดวิด โบวี

Eric Clapton – ‘ช่างก่ออิฐ’

มือกีตาร์ระดับตำนาน อีริก แคลปตัน (Eric Clapton) เคยกล่าวว่าเขาคงจะเป็นช่างก่ออิฐถ้าเขาไม่ได้กลายเป็นตำนานร็อกไปเสียก่อน !

หลังจากถูกไล่ออกจากโรงเรียนศิลปะ แคลปตันทำงานเป็นผู้ช่วยของปู่ซึ่งเป็นช่างก่ออิฐ แคลปตันชื่นชมความพยายามและการที่ปู่ได้ปลูกฝังจรรยาบรรณในการทำงานให้กับตัวเขาในตอนนั้น

“ผมเป็นช่างก่ออิฐและช่างปูน ผมทำงานให้ปู่ของผมช่วงหนึ่ง และเขาก็เข้มงวดมากและมีเกียรติมาก ๆ เลย” แคลปตันกล่าว “เขาไม่เคยได้ขึ้นเงินเดือน เขาทำงานด้วยเงินจำนวนเท่าเดิมมาตลอดทั้งชีวิต และเขาเป็นช่างฝีมือตัวจริง และนั่นเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผมที่จะต้องคอยสังเกตว่าผมสามารถเอาหลักจรรยาบรรณนี้ไปใช้ได้ทุกที่ เขาสอนให้ผมทำงานหนักมาก ผมก็เลยคิดอยู่เสมอว่า ถ้าผมเล่นดนตรีแล้วไม่เวิร์ก…ผมก็คงได้ใช้ชีวิตของผมในไซต์งานก่อสร้างนี่แหละ'”

Noel Gallagher – ‘เด็กยกเครื่องในวงดนตรี’

ถึงแม้ในปัจจุบันนี้ โนเอล กัลลาเกอร์ (Noel Gallagher) จะเป็นรุ่นป๋าขาใหญ่แห่งวงการดนตรีขนาดไหนแต่ก่อนที่จะเติบโตโด่งดังอย่างในทุกวันนี้ พี่ก็ต้องเคยเป็นเด็กน้อยมาก่อน

ก่อนหน้าที่โนเอลจะโด่งดังจากวง Oasis เขาเคยเป็นเด็กยกเครื่องดนตรีให้กับวง ‘Inspiral Carpets’ วงดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อกจากแมนเชสเตอร์มาก่อน ซึ่งโนเอลก็รู้สึกภูมิใจในช่วงเวลานั้นไม่น้อย ดังที่เขาได้คุยโวไว้ว่า

“ผมเป็นเด็กยกเครื่องดนตรีที่แต่งตัวดีที่สุดในประวัติศาสตร์ ผมมักใส่กางเกงยีนส์สีขาวและไม่เคยทำให้สกปรกเลยสักครั้ง ผมนั้นเร็วเกินกว่าที่สิ่งสกปรกทั้งหลายจะเกาะติดได้” โนเอลกล่าว

โนเอลคิดว่าถ้าไม่มีวง Oasis ป่านนี้เขาคงเป็นเด็กยกเครื่องไปตลอดแล้ว แต่ในตอนนี้เด็กยกเครื่องอยู่หลังเวทีคนนั้นได้ออกมายืนอยู่หน้าเวทีอย่างสง่าผ่าเผยและรู้สึกกระหยิ่มในใจถ้าได้กลับไปอยู่ต่อหน้าวงที่เขาเคยทำงานให้มาก่อน “ผมจะกลับไปที่นั่นด้วยเสื้อยืดสีดำที่ไม่พอดีตัวพร้อมรอยสักและรองเท้า Converse ที่แสนสกปรก เพราะนั่นคือสิ่งที่พวกเขาสวมใส่มาตลอด”

Freddie Mercury – ‘ขายของมือสองในตลาด’

ใครจะไปคิดล่ะว่า ฟรอนแมนท์เสียงทรงพลังของวงดนตรีที่เป็นราชาในนามราชินีแห่งวงการดนตรีร็อกอย่าง เฟร็ดดี เมอร์คิวรี (Freddie Mercury) แห่งวง ‘Queen’ จะเคยเป็นเจ้าของแผงขายของมือสองในตลาดมาก่อน

ในช่วงฤดูร้อนปี 1969 หลังจากเฟร็ดดีเรียนจบที่วิทยาลัย เขาได้เริ่มต้นอาชีพนักดนตรีที่เขารัก แต่ว่าเงินที่ได้มาก็ไม่พอยาไส้ ทำให้เขาต้องทำงานหาเงินจากการขายงานศิลปะของตัวเองและเสื้อผ้ามือสองในตลาดเคนซิงตันในลอนดอน

เฟรดดีเริ่มต้นทำการค้าเล็ก ๆ นี้กับมือกลองของวง Queen ในอนาคตนั่นก็คือ โรเจอร์ เทย์เลอร์ (Roger Taylor) แต่กิจการของทั้งคู่ก็ล้มไม่เป็นท่า และเฟร็ดดีก็ต้องมาลงเอยด้วยการทำงานกับอลัน แมร์ (Alan Mair) เจ้าของแผงลอยอีกคนหนึ่ง แม้กระทั่งหลังออกอัลบั้มแรกไปแล้ว เฟร็ดดีก็ยังคงขายของอยู่ต่อไป ไม่แน่บทเพลงที่เปี่ยมไปด้วยพลังและแรงบันดาลใจอาจมาจากการต่อสู้ชีวิตอย่างไม่ย่อท้อของเฟร็ดดีนี่ล่ะ

ที่มา

NME

Far Out Magazine

I Love Classic Rock

amomama

Forbes

Cheatsheet

Vintagelogos

The CEO Magazine

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส