ไม่ต้องบอกก็รู้กันดีถึงความแข็งแกร่งล่ำบึ้กของนักแสดงหนุ่ม คริส เฮมส์เวิร์ธ (Chris Hemsworth) วัย 39 ปี โดยเฉพาะตอนรับบทเทพเจ้าสายฟ้าธอร์ ในภาพยนตร์ ‘Thor: Love and Thunder’ นอกจากนี้ ในผลงานล่าสุดของเขาอย่าง ‘Limitless with Chris Hemsworth’ ออริจินัลซีรีส์สารคดี ของ เนชันแนล จีโอกราฟฟิก (National Geographic) ที่เพิ่งฉายทาง Disney+ ไปเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

Chris Hemsworth

ซึ่งทั้ง 6 ตอน เราก็จะได้เห็นเขาเข้าไปเป็นตัวแทนคนดู เพื่อเข้ารับการวิจัย และออกผจญภัยรูปแบบต่าง ๆ เพื่อต่อสู้กับความแก่ชรา และดึงศักยภาพสูงสุดของมนุษย์ออกมาให้ได้ แต่แม้ว่าเขาจะดูแข็งแรงเท่าไหน แต่โรคภัยก็ดูเหมือนจะไม่ปราณีหรืออ่อนข้อให้ง่าย ๆ เพราะล่าสุด นักแสดงหนุ่มได้เปิดเผยผ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นใหม่ของ Vanity Fair เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนว่า เขาเพิ่งค้นพบว่ามีพันธุกรรมที่มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์

โดยในตอนที่ 5 ของสารคดีเรื่องนี้ เฮมส์เวิร์ธจะต้องเข้ารับการทดสอบเกี่ยวกับสมองและความจำ โดยเขาจะได้เข้าไปผจญภัยและอาศัยอยู่ในป่าโดยไม่มีเครื่องมือช่วยเหลือใด ๆ รวมทั้งเขายังเล่าเรื่องเกี่ยวกับความทรงจำ โดยเฉพาะครอบครัวทั้งภรรยาและลูก ๆ ซึ่งตอนต้นเราจะได้เห็นเขาได้ยินข่าวร้ายจากปากของ ดร.ปีเตอร์ แอตเทีย (Dr. Peter Attia) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการมีชีวิตยืนยาว ที่เป็นคนแจ้งผลการตรวจเลือดว่า เขามีแนวโน้มที่จะเกิดความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ในอนาคต

Chris Hemsworth
ดร.ปีเตอร์ แอตเทีย (Dr. Peter Attia)

เนื่องจากผลตรวจเลือดของเฮมส์เวิร์ธ มีการพบยีน *APOE4 (เอโปอี 4) หนึ่งคู่ ซึ่งเกิดขึ้นจากการถ่ายทอดยีนแต่ละข้างมาจากพ่อและแม่ ซึ่งเป็นกรณีที่พบได้น้อยมาก ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์มักจะตรวจพบยีนนี้อย่างน้อย 1 ตัว แต่มีผู้ป่วยเพียง 2-3% เท่านั้นที่จะพบยีนชนิดนี้เป็นคู่ ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นอัลไซเมอร์มากกว่าผู้ป่วยปกติ 8-10 เท่า

“พวกเขาตรวจเลือดของผม และทำการทดสอบหลายอย่าง แผนของผมก็คือ ผมอยากให้แจ้งผลทั้งหมดกับผมผ่านหน้ากล้อง และก็พูดคุยเกี่ยวกับวิธีแก้ไขสิ่งเหล่านั้น แต่ปีเตอร์ ที่เป็นแพทย์ด้านอายุยืน และ ดาร์เรน อโรนอฟสกี (Darren Aronofsky) ผู้กำกับสารคดีบอกว่าไม่อยากจะเอาเรื่องนี้ออกอากาศ ก็เลยต้องมีการคุยกันนอกรอบเพื่อกำหนดว่าจะให้เอาออกอากาศได้ไหม เขาก็เลยโทรมาหาผมและแจ้งเรื่องนี้ ซึ่งผมตกใจมาก”

“ผมวางสาย ตอนนั้นพ่อแม่ของผมก็อยู่ด้วย ผมก็เลยบอกพวกเขา ผมก็สงสัย พวกเขาก็มีข้อสงสัย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหาคำตอบยังไง ผมหวังว่าผมจะมีโอกาสติดตามผลอย่างเข้มข้นกว่านี้ เพราะผมไม่รู้ว่าผมจะรู้สึกกับมันยังไงดี ผมชอบคิดว่า ผมควรจะเครียดกับเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน”

Chris Hemsworth

เฮมส์เวิร์ธยังกล่าวในบทสัมภาษณ์นี้อีกว่า แม้ผลการตรวจเลือดจะออกมาน่าตกใจ แต่เขาก็รู้สึกไม่แปลกใจเสียทีเดียว เพราะเขาเผยว่า ตอนนี้ คุณปู่ของเขาเองก็กำลังเผชิญกับโรคอัลไซเมอร์ด้วยเช่นกัน

“ผมไม่ได้เจอกับเขามา 2-3 ปีแล้วครับ แต่ได้เจอกับสมาชิกครอบครัวคนอื่นบ้าง แม่ของผมเล่าว่าเขาเป็นคนที่เป็นมิตรมาก บางวันเขาก็ร่าเริงและชอบกอดกับคนอื่นแน่น ๆ ผมไม่แน่ใจว่าเขาจำอะไรได้มากน้อยแค่ไหนแล้ว แต่เขามักจะชอบพูดภาษาอังกฤษสลับกับภาษาดัตช์ ภาษาดั้งเดิมของเขาสลับไป ๆ มา ๆ ตลอด หรือบางทีก็พูดคำศัพท์แปลก ๆ ออกมาด้วยเหมือนกัน”

แม้เขาเองจะยังไม่ได้กังวลกับโรคร้ายที่ยังอยู่ในขั้น ‘มีแนวโน้มในอนาคต’ แต่อย่างที่ทราบกันดีว่า เขาเองเป็นแฟมิลีแมนที่รักและนึกถึงครอบครัวที่ประกอบไปด้วย เอลซา พาทากี (Elsa Pataky) ภรรยา และลูก ๆ ทั้งสามคนทั้ง อินเดีย (India) ลูกสาวคนโต วัย 10 ขวบ และลูกชายฝาแฝด ซาชา (Sasha) และ ทริสตัน (Tristan) วัย 8 ขวบ เขาเองก็มีความกังวลอยู่ว่า วันหนึ่ง โรคร้ายนี้อาจทำให้เขาหลงลืมครอบครัวอันเป็นที่รักไปอย่างถาวร

“มันมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่โรคนั้นได้ คนเราส่วนใหญ่ชอบหลีกเลี่ยงการพูดถึงความตาย เพราะอยากจะรู้สึกถึงการมีความหวังที่จะหลีกเลี่ยงมันได้ แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีคนมาบอกคุณว่า มีอะไรบางอย่างที่กำลังนำทางไปสู่ความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้น สิ่งที่นำไปสู่ความตายของตัวคุณเอง”

“ความคิดที่ว่า ผมจะไม่สามารถจดจำชีวิตที่ผมเคยประสบพบมา หรือแม้แต่ภรรยา และลูก ๆ ของผม น่าจะเป็นความกลัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตผมแล้วล่ะครับ”

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงพยายามที่จะป้องกันแนวโน้มการเป็นอัลไซเมอร์ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเขาเองในอนาคตด้วยการเปลี่ยนมาใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น “สำหรับผม ข้อดีของมันคือมันทำให้ผมรู้ว่า ‘ถ้าผมไม่รู้เรื่องนี้ ผมคงไม่เปลี่ยนแปลงกับสิ่งที่ผมเป็นอยู่’ ผมไม่รู้อะไรเลย ตอนนี้ผมจึงต้องเตรียมพร้อมที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น ผมต้องทำให้มากกว่านี้ การป้องกันที่ดีจะส่งผลต่อชีวิตที่เหลือของคุณ”

Chris Hemsworth

ส่วนทางด้านการรับมือกับอารมณ์ เขาเองก็รู้สึกผ่อนคลายกับเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว และพยายามมองมุมกลับ หรือบางครั้งเขาก็เอามันมาล้อเล่นเป็นมุกตลกร้ายไปเสียเลย “มันกลายเป็นเรื่องตลกอย่างรวดเร็วมากครับ และครอบครัวของเราก็เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน มันก็เลยเป็นอย่างที่ผมอยากให้เป็น”

“มันเหมือนกับว่า ผมเป็นหนึ่งในพันคน…หรือหนึ่งในหมื่นวะ จำไม่ได้ แต่เอาเป็นว่า ผมมีโอกาสมากกว่าคนอื่น 8-10 เท่า ตั้งแต่ตอนนั้น ผมรู้สึกเหมือนความจำแย่ลงนะ หรือว่าเป็นผลจากยาหลอก หรือว่าผมกำลังจะเป็นจริง ๆ แล้วเนี่ย! ” (หัวเราะ)

สารคดี ‘Limitless’ ที่เขารับหน้าที่เป็นโฮสต์ของเรื่องราวนั้นมุ่งเน้นการนำเสนอการเอาชนะขีดจำกัดของร่างกายเพื่ออายุที่ยืนยาว แต่กลายเป็นว่า ในตอนที่ 5 ที่เขาทราบแนวโน้มว่าจะป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ ทำให้ตอนนี้กลายเป็นการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับความตาย เฮมส์เวิร์ธยังกล่าวอีกว่าในทีแรกจะตัดเนื้อหาที่เกี่ยวกับการค้นพบความเสี่ยงโรคร้ายของเขา แต่เขาก็ตัดสินใจไม่ตัดเนื้อหานี้ออกไป

“ผมคิดว่านั่นเป็นตอนที่ผมชอบที่สุด การนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับความตาย และการเผชิญหน้ากับความตายของคุณเอง ทำให้ผมรู้สึกว่า ‘โอ้พระเจ้า ผมยังไม่พร้อมที่จะไปตอนนี้หรอกนะ’ “

“ถ้านี่จะเป็นแรงจูงใจให้ผู้คนดูแลตัวเองดีขึ้น และเข้าใจขั้นตอนที่คุณจะสามารถทำได้ นั่นก็เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก ข้อกังวลของผมก็คือ ผมไม่อยากจะทำให้มันออกมาดูเศร้ามากเกินไป หรือทำให้มันตลกเพราะว่ามันน่าเห็นอกเห็นใจหรือเพราะอยากให้มันออกมาบันเทิงมากเกิน”


APOE4 (เอโปอี 4) เป็นยีนที่มีหน้าที่ลำเลียงคอเลสเตอรอลในร่างกาย และกำจัดโปรตีน แอมีลอยด์ บีตา (Amyloid beta) ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ โดยปกติแล้วทุกคนจะมียีนนี้ ซึ่งในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ มักจะตรวจพบยีน APOE4 อย่างน้อยหนึ่งตัว แต่มีการพบว่า มีผู้ป่วยบางคนที่มียีน APOE4 เป็นคู่ ที่ได้รับถ่ายทอดมาจากพ่อและแม่ ทำให้ผู้ที่มี APOE4 เป็นคู่นั้นมีความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์มากกว่าปกติ


ที่มา: Vanity Fair, Daily Mail, Page Six, CNN

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส