คำเตือน: บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์ ‘Black Adam’ (2022) และ ‘Fast X


เว็บไซต์ ScreenRant ได้เขียนบทความแสดงความคิดเห็น หลังจากที่ ดเวย์น จอห์นสัน (Dwayne Johnson) เจ้าของบท ลุค ฮอบส์ (Luke Hobbs) ได้มากลับมาสู่แฟรนไชส์ ‘Fast & Furious’ อีกครั้ง ด้วยการปรากฏตัวใน End-Credits ท้ายเรื่องของหนัง ‘Fast X‘ หลังจากที่เขาประกาศว่าจะไม่ปรากฏตัวใน ‘F9’ (2021) อีก โดยบทความนี้ได้วิเคราะห์และชี้ชัดว่า การปรากฏตัวของจอห์นสันใน ‘Fast & Furious’ เป็นเพราะจอห์นสันไม่สามารถเข้าควบคุม DC ได้ อันเนื่องมาจากหนัง ‘Black Adam’ (2022) ที่ทำเงินได้ไม่สวยงามนัก รวมทั้งการรีเซตจักรวาลกลายเป็น DCU (DC Universe) ที่ทำให้ ‘Black Adam’ ไม่ได้อยู่ในแผนของจักรวาลใหม่อีกต่อไป

ซึ่งการรีเทิร์นสู่ครอบครัว ‘Fast’ อีกครั้งของเขา น่าจะสร้างความประหลาดใจให้กับใครหลาย ๆ คน เพราะหลังจากที่จอห์นสันได้โพสต์ Instagram ที่หลายคนคาดกันว่า เขาน่าจะไม่กินเส้นกับ วิน ดีเซล (Vin Diesel) นักแสดงและผู้อำนวยการสร้างของหนังชุดนี้ ในระหว่างการถ่ายทำภาคที่ 8 หรือ ‘The Fate of the Furious’ (2017) ลุกลามบานปลายจนทำให้จอห์นสันต้องออกไปสร้างหนังภาคแยก ‘Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw’ (2019) ซึ่งนับเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นเขาปรากฏตัวในแฟรนไชส์นี้ ก่อนที่เขาจะปฏิเสธ ไม่กลับมาในแฟรนไชส์นี้อีกใน ‘F9’

ซึ่งการปรากฏตัวของ ลุค ฮอบส์ ใน End-Credits ของ ‘Fast X‘ นั้นก็เป็นไปตามที่ดีเซลได้ให้ข่าวก่อนที่หนังจะเข้าโปรแกรมฉาย ซึ่งใน End-Credits นั้นก็จะเชื่อมโยงกลับไปในภาคที่ 5 ของหนัง หรือ ‘Fast Five’ (2011) ที่มีเนื้อหาเชื่อมโยงกับภาคนี้โดยตรง โดยจะเชื่อมโยงหลังจากที่ ดันเต้ เรเยส ที่แสดงโดย (Jason Momoa) ได้ไล่เก็บบัญชีล้างแค้น โดมินิก โทเร็ตโต และครอบครัวชาวแก๊ง ที่มีส่วนร่วมสังหาร เฮอร์แนน เรเยส เจ้าพ่อค้ายาเสพติด ใน ‘Fast Five’ และจบไปแบบที่ยังไม่รู้ชะตากรรม จนเรื่องดำเนินมาถึงฉาก End-Credits เจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มหนึ่งได้บุกเข้าตรวจค้นในบ้านหลังหนึ่ง จนกระทั่งเจ้าหน้าที่คนหนึ่งได้เดินเข้ามาพบกับสาส์นที่ดันเต้ทิ้งไว้ให้เพื่อสื่อถึงการล้างแค้น ‘คนในครอบครัว’ อีกคนหนึ่งที่สังหารพ่อของเขา ซึ่งนั่นก็คือเจ้าหน้าที่ฮอบส์ ที่เปิดเผยหน้าให้เห็นในช็อตสุดท้ายนั่นเอง

แน่นอนว่า หลายคนที่ได้เห็นการปรากฏตัวของจอห์นสันใน End-Credits คงสงสัยกันไปต่าง ๆ นานาว่า แล้วที่เกิดดราม่าไม่กินเส้นกัน จนถึงขั้นที่จอห์นสันเองได้ให้สัมภาษณ์ลั่นวาจากับทาง The Hollywood Reporter ในระหว่างที่เขากำลังโปรโมตหนัง ‘Jungle Cruise’ (2021) ว่า เขาเองจะไม่กลับไปแสดงในแฟรนไชส์ ‘Fast & Furious’ อีกต่อไปแล้ว แม้ที่ผ่านมาจะมีกระแสข่าว เดี๋ยวดีกัน เดี๋ยวระหองระแหงกันระหว่างเขากับดีเซลมาโดยตลอด จนกระทั่งจอห์นสัน และบริษัทผลิตภาพยนตร์ Seven Bucks Productions ที่เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ได้มีโอกาสเข้าไปร่วมงานกับ DC Films ในการร่วมเป็นโปรดิวเซอร์ควบคุมการสร้างหนัง ‘Black Adam’ (2022) และพากย์เสียงเจ้าหมาคริปโต ใน ‘DC League of Super-Pets’ (2022) ในเวลาต่อมา

Jungle Cruise

แต่ก็อย่างที่ทราบกันดีว่า หลังจากที่จอห์นสันปฏิเสธที่จะกลับมาในแฟรนไชส์ ‘Fast’ ดูเหมือนว่าโปรเจกต์อื่น ๆ ที่อยู่ในมือเขา (ภายใต้การดูแลของ Seven Bucks Productions) หลาย ๆ โปรเจกต์ กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ทั้งหนัง ‘Jungle Cruise‘ ของ Disney ที่เขาร่วมเป็นโปรดิวเซอร์ด้วย ก็ทำรายได้ Box Office ทั่วโลกได้เพียง 220.9 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างมหาศาลถึง 200 ล้านเหรียญ

รวมทั้ง ‘Black Adam’ หนังเดี่ยววายร้ายแอนตี้ฮีโรของ DC ที่เริ่มโปรเจกต์กันมาตั้งแต่ปี 2007 แต่กว่าจะได้ถ่ายทำก็ปาเข้าไปปี 2020 ซึ่งในทีแรก DC Films ภายใต้ Warner Bros. ได้วางแผนให้ Black Adam เป็นตัวละครหนึ่งในหนัง ‘Shazam!’ (2019) เท่านั้น แต่จอห์นสันได้เจรจากับทีมผู้สร้าง เพื่อให้ Black Adam แยกออกมาเป็นหนังเดี่ยวของตัวเองแทน โดยมีความตั้งใจว่าจะให้ Black Adam เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลภาคขยายของ DC (DC Extended Universe) หรือ DCEU ที่จะเป็นการเปิด ‘เฟสที่ 1’ ใหม่ในจักรวาล DC รวมทั้งตัวหนังจะเป็นการเปิดตัวทีมฮีโร Justice Society of America ที่จะขยับขยายบทบาทและเรื่องราวเพิ่มเติมต่อไปในอนาคตอีกด้วย

นอกจากนี้ ตลอดเวลาที่จอห์นสันได้เข้ามามีบทบาทใน DCEU เขาเองก็ยังเป็นผู้ผลักดันให้ เฮนรี คาวิลล์ (Henry Cavill) กลับมารับบท Superman ทั้งการผลักดันให้บุรุษเหล็กที่รับบทโดยคาวิลล์ มาปรากฏตัวใน End-Credits ของ ‘Black Adam’ รวมทั้งยังได้เสนอให้มีภารสร้างภาคต่อ ‘Man of Steel’ ต่อประธานบริหารแผนกภาพยนตร์ของ Warner Bros. และเขาเองก็มีแผนที่จะสร้างหนังที่จะให้ Black Adam ได้ปะทะกับ Superman อีกด้วย

แต่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก หลังจากหนังเดี่ยว ‘Black Adam’ ที่ฉายในเดือนตุลาคม 2022 สามารถทำรายได้ Box Office ทั่วโลก 393.3 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างประมาณ 260 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าขาดทุนรวมทั้งเสียงวิจารณ์ที่ผู้ชมชอบ แต่นักวิจารณ์ชัง จนทำคะแนนบนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ได้เพียง 38% รวมทั้งในเวลานั้นก็เป็นช่วงเวลาที่ วอร์เนอร์ บราเธอส์ ดิสคัฟเวอรี (Warner Bros. Discovery) เองก็กำลังอยู่ในช่วงปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่

Black Adam

ทำให้มีข่าวการล้มเลิก และหยุดโปรเจกต์หนังของ DC ไปหลายเรื่อง รวมทั้งแผนการปรับจักรวาล DC ใหม่ในชื่อว่า DCU ของ 2 ผู้บริหารใหม่อย่าง เจมส์ กันน์ (James Gunn) และ ปีเตอร์ ซาฟราน (Peter Safran) ภายใต้แผนกใหม่ที่ถูกเรียกว่า DC Studios และในภายหลังก็ได้มีการเปิดเผยรายชื่อคอนเทนต์ใหม่ในแผนที่มีชื่อว่า ‘Chapter 1’ ที่ไม่มี และไม่เกี่ยวข้องกับแผนที่จอห์นสันวางไว้เลยแม้แต่น้อย ทั้งการไม่มีภาคต่อ ‘Black Adam’ อย่างแน่นอน และคาวิลล์เองก็จะไม่ได้กลับมารับบท Superman ในจักรวาล DCU อีกต่อไปด้วย นั่นจึงทำให้ขาเองเริ่มค่อย ๆ ถอยห่างออกมาจากจักรวาล DC ในเวลาต่อมา

เป็นเรื่องที่น่าคิดไม่น้อยว่า หาก ‘Black Adam’ ประสบความสำเร็จ จอห์นสันจะยังสนใจที่จะกลับมาในแฟรนไชส์ ‘Fast & Furious’ อีกหรือไม่ ท่ามกลางข่าวดราม่าที่เขาเองมีความขัดแย้งบางอย่างกับ วิน ดีเซลอยู่ และการกลับมาปรากฏตัวแบบสั้น ๆ ในท้ายเครดิตของ ‘Fast X‘ ก็ยังเป็นการยากที่จะสรุปว่าเขาพร้อมแล้วที่จะยุติความบาดหมางและกลับไปร่วมงานกับดีเซล เพราะจนถึงตอนนี้ จอห์นสันเองก็ไม่ได้ออกมาพูดถึงการกลับไปร่วมงานใน ‘Fast X‘ เลย ใน ‘Fast X’ Part 2′ ที่จะฉายในปี 2025 จึงน่าสนใจว่า ตัวละคร ลุค ฮอบส์ จะมีบทบาทมากขึ้นอย่างไร ทั้งคู่จะได้ร่วมเฟรมกันจริง ๆ ไหม หลังจากที่ ‘The Fate of the Furious’ (2017) มีข่าวว่าเกาเหลากันจนในหนัง แทบจะไม่มีฉากที่ดีเซลกับจอห์นสันอยู่ร่วมเฟรมกันเลย

นอกจากนี้ การกลับมาอีกครั้งของจอห์นสันในแฟรนไชส์นี้ ก็นับว่าเป็นอะไรที่สมเหตุสมผลและเข้าใจได้ในแง่ของธุรกิจ เพราะที่ผ่านมาแม้เขาจะมีโปรเจกต์อื่น ๆ แต่ตัวละคร ลุค ฮอบส์ ก็ยังถือเป็นบทบาทที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของจอห์นสัน ทั้งใน ‘Furious 7’ (2015) ที่ทำรายได้สูงสุดของแฟรนไชส์มากถึง 1,511 ล้านเหรียญ ส่วนภาคแยก ‘Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw’ (2019) ที่เขาแสดงร่วมกับ เจสัน สเตแธม (Jason Statham) ก็ถือว่าทำรายได้ไปไม่น้อยที่ 760 ล้านเหรียญ แม้อนาคตในการสร้างภาคต่อของภาคแยก ‘Hobbs & Shaw’ จะยังไม่มีวี่แวว และอาจจะเลยเวลาที่เหมาะสมไปแล้วก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม การที่จอห์นสันได้กลับมาร่วมในแฟรนไชส์นี้ ก็อาจช่วยให้เขาสามารถกลับมาเป็นที่จดจำและสร้างเครดิตให้ตัวเองได้อีกครั้ง

การหวนกลับมารับบทเจ้าหน้าที่ ลุค ฮอบส์ ใน ‘Fast & Furious’ อีกครั้งของจอห์นสัน ไม่ใช้แค่ทำให้จอห์นสันน่าจะมีโอกาสในการกอบกู้ชื่อเสียงของตัวเองกลับมาอีกครั้ง เพราะยังเป็นการเพิ่มความยิ่งใหญ่ของเรื่องราวในบทสรุปภาคหลักของแฟรนไชส์อย่างที่ดีเซลต้องการ เนื่องจากเป็นการรวมตัวของบรรดาตัวละครคลาสสิก เข้ากับตัวละครใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามาภายหลัง

และน่าจะเป็นตัวช่วยให้แฟรนไชส์ ‘Fast & Furious’ กลับมาเป็นที่สนใจของแฟน ๆ อีกครั้ง หลังจากที่ ‘F9’ ทำรายได้ให้แฟรนไชส์ลดลงเหลือเพียง 719 ล้านเหรียญ (หากเทียบกับ ‘The Fate of the Furious’ ที่ทำรายได้สูงถึง 1,235 ล้านเหรียญ) และโดนวิพากษ์วิจารณ์ว่า ตัวหนังมุ่งเน้นไปที่ตัวละคร โดมินิก โทเรตโต มากเกินไป ซึ่งคงต้องรอดูว่า การกลับมาของจอห์นสัน จะทำให้ทั้งตัวเขาเอง และแฟรนไชส์ ‘Fast & Furious’ กลับมายิ่งใหญ่อย่างที่เคยเป็นมาในอดีตได้อีกหรือไม่


ที่มา: ScreenRant

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส