ในที่สุด ‘Disney’s The Little Mermaid’ ฉบับไลฟ์แอ็กชันก็ได้ออกสู่สายตาผู้ชมทั่วโลกเป็นที่เรียบร้อย และในขณะที่ดิสนีย์สตูดิโอกำลังลุ้นกับผลตอบรับด้านรายได้ของหนัง ในโลกของอินเทอร์เน็ตเองก็มีความเห็นด้านลบมากมายปรากฎอยู่ตามแพลตฟอร์มต่าง ๆ โดย Beartai Buzz ขอรวบรวมข้อมูลมาทีละประเด็นเพื่อทำความเข้าใจปรากฎการณ์นี้

เจาะเบื้องลึกกำเนิด ‘Disney’s The Little Mermaid’ ฉบับไลฟ์แอ็กชัน

Beartai Buzz รวมทุกปรากฎการณ์แฟนการ์ตูนฟาด The Little Man ฉบับไลฟ์ แอ็กชัน

ต้องบอกว่าคนที่มีส่วนในการผลักดันโปรเจกต์ ‘Disney’s The Little Mermaid’ ก็คือ ร็อบ มาร์แชล (Rob Marshall) ผู้กำกับภาพยนตร์นั่นเอง โดยคราวนี้เขาได้ชวน ลิน มานูเอล มิแรนดา (Lin-Manuel Miranda) ผู้กำกับที่อยู่เบื้องหลัง ‘Hamilton’ บรอดเวย์ที่ประสบความสำเร็จระดับปรากฎการณ์มาร่วมประพันธ์เพลงร่วมกับ อลัน เมนเคน (Alan Menken) ผู้ประพันธ์เพลงประกอบฉบับแอนิเมชันต้นฉบับ โดยการแคสติงบทต่าง ๆ หลังจากประกาศโปรเจกต์ไปในปี 2016 ได้ถูกเปิดเผยใน 3 ปีต่อมา

การแคสติงเป็นไปอย่างเข้มข้นจากตัวเลือกวัยรุ่นสาวหน้าตาดีนับพันที่มาร์แชลได้ทำการออดิชัน กลับกลายเป็น แฮลลี ไบลีย์ (Halle Bailey) หนึ่งในสมาชิกวง ‘Chloe X Halle’ และนำแสดงใน ‘Grown-ish’ ซีรีส์ซิตคอมในช่องฟรีฟอร์มของดิสนีย์ที่เข้ามาออดิชันเป็นคนแรกและขโมยหัวใจมาร์แชลด้วยเพลง ‘Part of Your World’ จนยากจะตัดออกจากท็อปลิสต์ของเขา

และในปี 2019 ที่ดิสนีย์ประกาศแคสต์หลักในหนังฉบับไลฟ์แอ็กชัน โดยมีทั้ง เมลิสซา แม็กคาร์ธี (Melissa McCarthy) ในบทเออร์ซูลา แม่มดแห่งท้องทะเลที่ถูกคิงไทรทันเนรเทศ และได้ อควาฟีนา (Awkwafina) แรปเปอร์สาวเอเซียมาพากย์เป็นสกัทเทิล เจ้านกสีขาวที่เดิมทีเป็นผู้ชาย และที่จุดประเด็นในโซเชียล มีเดียทันทีคือการประกาศให้ แฮลลี ไบลีย์ (Halle Bailey) รับบท แอเรียล ซึ่งถือเป็นตัวเลือกที่พลิกความคาดหมายของแฟน ๆ และก่อให้เกิดกระแสเกลียดชังบนโลกออนไลน์

ปรากฎการณ์ #NotMyAriel ในโซเชียล มีเดีย

ในประเด็นนี้เองอาจจะต้องท้าวความไปถึงความคาดหวังที่แฟนของ ‘Disney’s The Little Mermaid’ ฉบับแอนิเมชันมีต่อหนังฉบับไลฟ์แอ็กชัน พวกเขาอยากเห็นแอเรียล เจ้าหญิงเงือกผิวขาวผมสีแดงบนจอหนังเหมือนที่ดิสนีย์เองก็เคยแคสต์ เอ็มมา วัตสัน (Emma Watson) มาเป็นเจ้าหญิงเบลล์ ใน ‘Beauty and the Beast’ หรือที่เคยเห็น ลิลี เจมส์ (Lily James) เป็นซินเดอเรลลาใน ‘Cinderella’ ซึ่งเป็นการแคสติงโดยยึดภาพจำในแอนิเมชันมาเป็นหนังไลฟ์แอ็กชันนั่นเอง

ซึ่งกับ ‘The Little Mermaid’ เองในฉบับแอนิเมชันที่มีภาคต่อแบบส่งตรงลงวีดีโอ หรือกระทั่งการนำคาแรกเตอร์แอเรียลไปแสดงบน ‘Disney on Ice’ หรือกระทั่งการให้นักแสดงผิวขาวไปรับบทแอเรียลในดิสนีย์แลนด์ก็ยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของแอเรียลผิวขาวมานานแสนนาน แต่เพราะมองว่ามันเป็นนิทานแฟนตาซีดังนั้น ดิสนีย์จึงคิดว่าทำไมเด็กยุคนี้จะมีแอเรียลในฉบับของตัวเองไม่ได้ล่ะ

และอีกเหตุผลก็เกี่ยวข้องกับธุรกิจเสียด้วยเพราะเมื่อฮอลลีวูดเริ่มเปิดกว้างให้มีบทนำสำหรับนักแสดงต่างชาติพันธุ์ต่างสีผิว ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นการขยายตลาดสำหรับคอหนังที่ไม่ใช่คนผิวขาวด้วยซี่งหลักฐานสำคัญคือ ‘Disney’s Aladdin’ ที่มีนักแสดงเชื้อสายอาหรับและตะวันออกกลางอยู่หลายคนและยังทำเงินทั่วโลกในระดับพันล้านดอลลาร์

และไม่น่าแปลกใจที่กระแสการเปิดกว้างจะมาพร้อมกับกระแส WOKE Culture หรือกระแสวัฒนธรรมตื่นรู้ที่เริ่มมองความเป็นไปได้ในการเปิดกว้างให้นักแสดงหลากเชื้อชาติมารับบทนำพร้อมความสำเร็จของหนังอย่าง ‘Black Panther’ ที่พิสูจน์ได้ว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่คนดำก็ทำเงินได้ และมักถูกหยิบยกมาควบคู่กับความสำเร็จของ ‘Crazy Rich Asians’ ที่เต็มไปด้วยนักแสดงนำเชื้อสายเอเซีย

เมื่อบวก 2 ปัจจัยรวมกันก็อาจทำให้แฟนของแอนิเมชันเงือกน้อยผจญภัยไม่ได้อ่อนโยนต่อกรณีการแคสต์ไบลีย์มาเป็นเอเรียลก็ทำให้เกิดความไม่พอใจ เพราะเหมือนดิสนีย์ไม่ฟังเสียงคัดค้านของแฟน ๆ และเหมือนเห็นผลประโยชน์ทางการตลาดเหนือการเคารพต่อภาพจำจากแอนิเมชันต้นฉบับนั่นเอง

เริ่มจากการถล่มดิสไลก์ทีเซอร์แรกของหนังบน Youtube ที่กลายเป็นปรากฎการณ์ และแน่นอนว่ากระแสความไม่พอใจตนี้ก็ทำให้เกิด #NotMyAriel ขึ้นในโลกออนไลน์ มีทั้งการแคปเจอร์ภาพจากฟุตเทจเทรลเลอร์หนังไปเปลี่ยนให้หน้าของไบลีย์ออกมาเป็นผู้หญิงผิวขาวซึ่งถือเป็นการกระทำที่แสดงออกถึงการเหยียดสีผิวชัดเจน

Beartai Buzz รวมทุกปรากฎการณ์แฟนการ์ตูนฟาด The Little Man ฉบับไลฟ์ แอ็กชัน

ซี่งเลวร้ายที่สุดคือถึงขั้นมีการสร้างบอทที่อ้างว่าเป็นทวีตของผู้หญิงผิวขาวคนหนึ่งที่โยน DVD หนังแอนิเมชัน ‘Disney’s The Little Mermaid’ เพราะไม่พอใจที่แคสต์ไบลีย์มาเป็นแอเรียล แต่แล้วความจริงก็เปิดเผยว่านี่เป็นการทำงานของบอทที่เกรียนคีย์บอร์ดคนหนึ่งสร้างขึ้นมาและขโมยภาพจากพินเทอเรสต์ (Pinterest) ของหลาย ๆ แอ็กเคานต์มาตัดต่อรวมกันแล้วใส่สีในคอมเมนต์

พลพรรค Disney ชักธงรบกับเหล่าเกรียนคีย์บอร์ด

Beartai Buzz รวมทุกปรากฎการณ์แฟนการ์ตูนฟาด The Little Man ฉบับไลฟ์ แอ็กชัน

แต่ก็ใช่ว่าไบลีย์จะไม่มีคนออกมาปกป้องเลยเพราะ ราเชล เซเกลอร์ (Rachel Zegler) นักแสดงสาวชาวละตินที่รับบทสโนว์ไวต์ ใน ‘Snow White’ ก็ได้ออกมาปกป้องเธอจากทวิตเตียนรายหนึ่งนามว่า เลียม เว็บสเตอร์ (Liam Webster) ที่ออกมาทวิตว่า

“ราเชล เซเกลอร์ เหมาะสมสำหรับบทสโนว์ ไวต์ แต่แฮลลี ไบลีย์ #ไม่ใช่แอเรียล สำหรับผม เธออาจจะไปรับบทเงือกน้อยในเวอร์ชันบรอดเวย์ก็ได้แต่ไม่ใช่ในฉบับภาพยนตร์”

ซี่งเซเกลอร์ก็สวนทันควันด้วยการตอบเทรต (Threat) นั้นว่า “ถ้าคุณไม่สนับสนุนฮัลลีเพื่อนฉันที่เป็น แอเรียลได้อย่างสมบูรณ์แบบก็เท่ากับคุณไม่ได้สนับสนุนฉันเช่นกัน” และแน่นอนว่าเซเกลอร์ก็ได้พาตัวเองไปเป็นเป้าหมายต่อไปของเหล่าเกรียนคีย์บอร์ดเพื่อต้อนรับหนังของเธอในปีหน้าเป็นที่เรียบร้อย

ส่วน ร็อบ มาร์แชล ผู้กำกับเองก็ออกมาปกป้องไบลีย์ด้วยการบอกเล่าถึงความประทับใจที่เขาต่อเธอในวันแคสติงและบอกว่าเธอได้สร้างมาตรฐานการร้องไว้สูงกว่าคนอื่นจนเขาไม่อาจเมินเธอได้ แถมยังแสดงท่าทีปกป้องพร้อมต้้งคำถามกลับไปว่า

“ผมว่ามันเป็นความคิดที่โบราณคร่ำครึมากเลยนะ ทำไมเรายังต้องมาถกเถียงกันเรื่องสีผิวใน พ.ศ. นี้อีกเนี่ย”

ด้านไบลีย์เองกลับออกมาบอกแค่ว่าการรับบทแอเรียลนั้นสำคัญมาก และเธอจำเป็นต้องกล้าหาญพอจะรับกับคำก่นด่าในโลกออนไลน์เพื่อจุดประสงค์ที่สำคัญกว่าการรับบทที่อาจขัดต่อภาพจำของแฟน ๆ โดยเธอได้รับกำลังใจจากครอบครัวอย่างล้นเหลือโดยเฉพาะคุณย่าที่กล่าวกับเธอว่า

“หนูรู้มั้ยว่าสิ่งที่หนูทำมีความหมายกับเราและชุมชนคนผิวดำขนาดไหน มันสำคัญมากที่เด็กสาวผิวดำและผิวน้ำตาลทุกคนจะได้เห็นตัวเองในตัวหนูที่รับบทระดับไอคอนของโลกภาพยนตร์”

ซึ่งคำพูดของเธอก็ถูกพิสูจน์ด้วยคลิปรีแอ็กชันของเด็กสาวผิวดำที่หัวเราะดีใจเมื่อเห็นแอเรียลมีสีผิวเหมือนพวกเขาดังปรากฎในวีดีโอด้านล่างนี้

แต่กระนั้นเหล่าแอนตี้แฟนก็ยังคงหาทางขุดคุ้ยคำสัมภาษณ์ของเธอมาโจมตีต่อไปทั้งเรื่องที่เธอกล่าวถึงทรงผมเดรดล็อกที่ผู้กำกับอย่างมาร์แชลและ คาร์มิลล์ เฟรนด์ (Camille Friend) หัวหน้าแผนกออกแบบทรงผมประจำกองยอมให้เธอไว้ทรงผมเดรดล็อกแบบเดิมได้ (โดยต้องลงทุนกับการถักผมและแกะออกนับล้านบาทตลอดการถ่ายทำ) ที่ก็พยายามโจมตีว่าไบลีย์ต้องทำให้กองถ่ายเดือดร้อนเพราะเธอไม่ยอมปรับตัวเองเข้ากับคาแรกเตอร์นั่นเอง

ฟลาวเดอร์ยังโดน

Beartai Buzz รวมทุกปรากฎการณ์แฟนการ์ตูนฟาด The Little Man ฉบับไลฟ์ แอ็กชัน

เมื่อ ฟลาวเดอร์ (Flounder) เจ้าปลาสีเหลืองแถบน้ำเงินตัวอ้วนตุ๊บตั๊บน่ากอดจากฉบับแอนิเมชันกลายมาเป็นปลาตัวผอม ๆ ก็ย่อมโดนแฟนคลับจากการ์ตูนดิสนีย์สวดยับไม่ต่างกัน ซึ่งคนที่ต้องรับคำวิจารณ์ก็หนีไม่พ้น จาค็อบ เทรมเบลย์ (Jacob Tremblay) ผู้ให้เสียงพากย์ ซึ่งเทรมเบลย์ก็สนับสนุนไอเดียของมาร์แชล ผู้กำกับและทีมครีเอทีฟพร้อมบอกว่าสำหรับเขา ฟลาวเดอร์ฉบับไลฟ์ แอ็กชัน เวิร์กมากเมื่ออยู่บนจอ

การรับมือกับวิกฤติแอนตี้อันแสนชาญฉลาดของ Disney

แน่นอนว่าเมื่อเกิดวิกฤติขึ้นบริษัทแม่อย่างดิสนีย์ (Disney) ก็ย่อมต้องมีมาตรการรับมือ แต่จะให้ตอบโต้กับแฟน ๆ ก็คงเป็นการทุบหม้อข้าวตัวเองแบบไม่ฉลาดนักดังนั้นทางดิสนีย์จึงโพสต์ข้อความผ่านแอ็กเคานต์ของฟรีฟอร์ม (Free Form) บนอินสตาแกรมมดังภาพข้างบนมีใจความว่า

“ใช่จ้ะ..ผู้เขียนนิยายต้นฉบับของ The Little Mermaid คือชาวเดนมาร์ก และเอเรียล..นางเป็นเงือกอาศัยในอาณาจักรใต้สมุทรนานาชาติและนางมีสิทธิ์ว่ายไปไหนก็ได้ตามใจปรารถนา (แม้จะทำให้คิงไทรทันทรงกริ้วอยู่บ่อย ๆ ก็ตาม) เห็นเถียงกันก็เลยอยากบอกว่า แอเรียลก็เป็นชาวเดนมาร์กเช่นกัน เงือกชาวเดนมาร์กผิวดำได้จ้ะ ขนาดชาวเดนมาร์กเองก็มีคนผิวดำเป็นประชากร แอเรียลมักแอบโผล่มาบนผิวน้ำกับสกัทเทิล และ อ่ะแฮ่ม..เซบาสเตียนปูชาวจาไมก้า (โทษทีนะ ฟลาวน์เดอร์) และชาวเดนมาร์กผิวดำรวมถึงเหล่าเงือกในน่านน้ำก็อาจมีพันธุกรรมที่ให้ผมสีแดง แต่เหนืออื่นใด ตัวละครแอเรียลเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น และหากที่กล่าวมาทั้งหมดยังทำให้เธอทำใจชื่นชม แฮลลี ไบลีย์ ที่เปี่ยมความสามารถและงดงามไม่ได้ เพียงเพราะเธอไม่เหมือนกับการ์ตูนที่เธอเคยดูล่ะก็ โอ้เธอจ๋า..ฉันคงไม่เหลืออะไรมาอธิบายให้เธอฟังอีกแล้วล่ะ”

หนังเข้าฉายแล้ว แต่รีวิวทางลบยังถล่มไม่หยุดหย่อน

แม้จะหนังจะเข้าฉายแล้วแต่ชะตากรรมของ ‘Disney’s The Little Mermaid’ ก็ยังอยู่ในสถานการณ์อันน่าเป็นห่วง โดยคราวนี้เป็นปรากฎการณ์ที่คนถล่มรีวิวเชิงลบเป็นจำนวนมากจนเว็บไซต์หลายแห่งต้องขึ้นคำเตือนและมีการประกาศคำเตือนบนหน้าเว็บไซต์หลายแห่งเช่น AlloCiné ที่ออกเตือนผู้อ่านถึงความผิดปกติของรีวิวด้านลบและขอให้ผู้อ่านไปพิสูจน์ผลงานด้วยตัวเองในโรงภาพยนตร์จะดีกว่า ส่วนเว็บไซต์อย่าง IMDB เองก็เพิ่มระบบการกรองผู้ใช้งานในการโหวตให้คะแนนหนัง

ส่วนในเกาหลีใต้ก็เกิดปรากฎการณ์ผู้ชมแห่กดไลก์รีวิวหนังในเชิงลบ และกดดิสไลก์กับรีวิวในเชิงบวก หรือประเทศจีนเองก็ไม่มีคนเข้าไปรีวิวในแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง เหมายัน (Maoyan) เลยทั้งหนังทำเงินไปแล้วรวม 69 ล้านบาท

และในโอกาสที่หนัง ‘Disney’s The Little Mermaid’ กำลังเข้าฉายอยู่นี้ และแม้จะมีคอมเมนต์ในเชิงลบตามโพสต์ต่าง ๆ เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ ผมคงบอกได้คำเดียวว่าจะชอบไม่ชอบก็ยังอยากให้ทุกคนตัดสินผลงานที่ปรากฎตรงหน้าด้วยตัวเองในโรงภาพยนตร์น่าจะเป็นการดีที่สุดครับ

อ้างอิง

teenvogue

smh.com

deadline

screenrant

digitalspy

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส