หนังเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างที่น่าสนใจ หนึ่งคือหนังสร้างจากบทประพันธ์ขายดีของ เอ็ม.แอล. สเต็ดแมน นักเขียนชาวออสเตรเลียที่ออกมาเมื่อปี 2012 และได้เสียงตอบรับอันดีจากบรรดานักวิจารณ์ หนังสือก็ถูกซื้อ ลิขสิทธิ์มาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในปี 2014 และได้ ดีเร็ค เซียนฟรองซ์ ผู้กำกับที่เพิ่งกอบโกยชื่อเสียงมาจาก Blue Valentine (2010) หนังดราม่าอีโรติค มาเรื่องนี้ ดีเร็ค รับหน้าที่ดัดแปลงนิยายมาเป็นภาพยนตร์เองด้วย ด้วย 2 องค์ประกอบข้างต้น เลยก่อให้เกิดองค์ประกอบน่าสนใจข้อที่ 3 คือบทนำของเรื่อง ทอม เชอร์บอร์น ได้รับความสนใจจาก ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ หนึ่งในดาราชายงานชุกระดับต้น ๆ ของฮอลลีวู้ดขณะนี้ พอได้ไมเคิล มารับบทนำ อลิเซีย วิแคนเดอร์ อีกหนึ่งดาราหญิงระดับต้นเช่นกัน ก็เผยว่าเธอติดตามผลงานฟาสเบนเดอร์มานานแล้ว และอยากจะร่วมงานด้วย ก็เลยกลายเป็นหนังเล็กทุนสร้างแค่ 20 ล้านแต่กลับมีจุดแข็งหลายอย่างในตัว

mlstedmanevent

ผู้ประพันธ์ เอ็ม.แอล. สเต็ดแมน / และปกหนังสือนิยายต้นฉบับ

เรื่องราวเป็นหนังย้อนยุค ย้อนไปเล่าเหตุการณ์ในปี 1918 ทอม เชอร์บอร์น ทหารผ่านศึกกลับมาจากฝรั่งเศสได้งานเป็นนายประภาคารบนเกาะแจนัส ห่างไกลแผ่นดินใหญ่ ทอม ได้พบกับ อิซาเบล สาวบนแผ่นดินใหญ่ ทั้งคู่ชอบพอกัน  แม้จะเจอกันเพียงแค่ 2 ครั้งก็ตกลงแต่งงานกันแล้ว อิซาเบล ย้ายไปอยู่เกาะแจนัสกับทอม แต่ก็โชคร้ายอิซาเบลแท้งลูกถึง 2 ครั้ง แล้วก็เหมือนสวรรค์จะเมตตา มีปาฎิหารย์ให้เรือแจวเล็กลอยมาที่ชายฝั่ง ในเรือมีทารกหญิงร้องกระจองอแงอยู่ข้างศพพ่อ อิซาเบล ขอให้ทอม ปิดเรื่องนี้เป็นความลับ เธอตั้งชื่อเด็กว่า “ลูซี่” เอาศพพ่อเด็กไปฝังแล้วแอบอ้างกับทุกคนว่า ลูซี่ คือลูกของเธอกับทอม จนวันหนึ่ง ทอม กับ อิซาเบล พาลูซี่ ไปเยี่ยมตายายที่แผ่นดินใหญ่ ทอม ได้พบกับ ฮันน่า เศรษฐีนีที่กำลังเศร้าโศกใจอยู่หน้าป้ายหลุมศพที่ไร้ร่างของสามีและลูกสาวเธอ ทอมได้ความว่า แฟรงค์สามีของเธอมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว คืนหนึ่งระหว่างเหตุโกลาหล แฟรงค์พาลูกสาวลงเรือพายหนีออกทะเลและหายสาบสูญไป การได้ทราบ ข่าวถึงเบื่องหลังที่มาของลูซี่นี้ ทำให้ทอม รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ และเกิดการต่อสู้ภายในจิตใจขึ้นมาว่าเขาจะรักษาความสุขในครอบครัวหลอก ๆ แบบนี้ต่อไปได้หรือไม่

THE LIGHT BETWEEN OCEANS (2016) Pictured: Michael Fassbener as Tom Sherbourne & Alicia Vikander as Isabel

จุดแข็งและเป็นจุดที่น่าชื่นชมสุดของ The Light Between Ocean นี้คือการแสดงของนักแสดงนำทั้ง 3 อลิเซีย วิแคนเดอร์ นี่คว้าออสการ์สมทบหญิงมาจาก The Danish Girl (2015) ส่วน ราเชล ไวซ์ นั้นได้สมทบหญิงมาจาก The Constant Gardener (2005) ส่วนฟาสเบนเดอร์นั้นยังไม่มีออสการ์มาประดับบารมีแต่ก็เข้าชิงมาแล้วถึง 2 ครั้ง Steve Jobs (2015) , 12 Years a Slave (2013) ฉะนั้นเรื่องการแสดงของทั้ง 3 นี่หายห่วงและเล่นกันแบบทุ่มเทเอาจริงเอาจัง ซึ่งผู้กำกับดีเร็ค ก็จงใจขายจุดนี้แบบตรงไปตรงมามาก เนื้อหาของหนังนี่ดราม่าหนักมาก ตัวละครนำเจอแต่มรสุมชีวิตน้ำตาไหลกันพราก ๆ พอถึงฉากดราม่าปั๊บ กล้องก็โคลสอัพหน้าตัวละครนำทันที แบบหน้าเต็มจอให้เห็นกันตั้งแต่น้ำตารื้นคลอเบ้าจนไหลเป็นทาง ข้อดีอีกอย่างคือหนังสวยมาก นิยายเป็นของออสเตรเลียแล้วก็ไปถ่ายทำกันในเมืองเล็ก ๆ ชื่อสแตนลีย์ ในรัฐแทสมาเนีย เป็นเมืองริมชายฝั่งที่เงียบสงบ ไม่ค่อยมีกองถ่ายเข้าไปบ่อยนัก รอบนี้ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากชาวเมืองเพราะคาดหวังว่ากระแสจากหนังจะนำพานักท่องเที่ยวมาเป็นรายได้ให้กับเมือง

the-light-between-oceans-fassbender-vikanda

หนังกำกับภาพโดย อดัม อาร์คาพอว์ ช่างภาพประสบการณ์สูงมาจากหนังสั้น เคยถ่ายหนังใหญ่ Macbeth (2015) ของฟาสเบนเดอร์มาแค่นั้น แล้วหลังจากเรื่องนี้ก็ตาม ฟาสเบนเดอร์ไปถ่าย Assassin’s Creed อีก ท่าทางจะได้ดีกับ ฟาสเบนเดอร์นะ อดัม ถ่ายภาพทะเลมุมสูงหลาย ๆ ช็อตออกมาได้สวยรุนแรงมาก ภาพภายในเน้นภาพย้อนแสงนุ่ม ๆ อารมณ์ฟุ้ง ๆ อย่างกับภาพพรีเว็ดดิ้ง ดูแล้วอบอุ่นน่ารักเข้ากับบรรยากาศโรแมนติกตามโทนเรื่อง ที่ตะขิดตะขวงอยู่นิดก็คือตัว ฟาสเบนเดอร์ และ อลิเซีย ไม่ใช่คู่ที่ดูลงตัวนักในหนังโรแมนติกดราม่าแบบนี้ อาจจะทั้งด้วยวัยและสรีระ ตอนถ่ายทำเรื่องนี้ ฟาสเบนเดอร์ อายุ 37 และสูงถึง 183 ซม. ส่วนอลิเซียเพิ่ง 25 และสูงเพียง 166 ซม. ถึงแม้จะมีข่าวว่าทั้งคู่คบกันจริง ๆ ตอนที่ถ่ายทำหนังเรื่องนี้ในปี 2014 หนังโดนดองอยู่ 2 ปีถึงได้ออกฉาย ในเรื่องจะสังเกตได้ว่า อลิเซียในตอนนั้นอวบมาก

Oscar (TM) winner Rachel Weisz is Hannah Roennfeldt and Bryan Brown is Septimus Potts in the poignant drama THE LIGHT BETWEEN OCEANS, written and directed by Derek Cianfrance and based on the acclaimed novel by M.L. Steadman.

จุดที่ผิดคาดไปหน่อย คือหนังยาวถึง 2 ชั่วโมง 13 นาที ก่อนดูก็ไม่รู้ว่าหนังจะยาวขนาดนี้ การดูหนังดราม่าสักเรื่องที่ยาวเกิน 2 ชั่วโมง นี่มันรู้สึกได้จริง ๆ นะ ยังดีที่ว่า The Light Between Ocean ใส่เหตุการณ์หนัก ๆ เข้ามาในช่วงหลังมากพอที่จะทำให้หนังเดินหน้าไปอย่างน่าติดตามก็เลยไม่รู้สึกง่วง ทั้งทอม และ อิซาเบล ต้องเจอกับวิกฤตการณ์ใหญ่ ๆ ในชีวิต หนังโยนโจทย์ยาก ๆ ใส่ตัวละครนำทั้งสาม ทำให้ต้องลุ้นตามว่า แต่ละคนจะตัดสินใจอย่างไร แล้วจะลงเอยอย่างไร ที่น่าผิดหวังคือจังหวะของหนังที่ไม่ลงตัวนัก หนังหมดเวลาไปกับช่วงแรกมากไปโดยที่ไม่ได้อะไรขึ้นมา ผ่านไป 45 นาทีแรก ทอม กับ อิซาเบล เพิ่งจะแต่งงานและย้ายไปอยู่เกาะด้วยกัน การที่ทั้งคู่เจอกันไม่กี่ชั่วโมงก็ตัดสินใจร่วมหอลงโรงแล้ว เลยไม่ได้ความรู้สึกร่วมให้อิ่มเอมไปกับความรักของคู่นี้ อย่างที่ว่ามาหนังอัดแน่นไปด้วยฉากเน้นอารมณ์หนัก ๆ ครึ่งหลังนี่แทบจะทุก 10 นาทีที่ตัวละครจะต้องร้องไห้ ผู้กำกับก็จัดเต็มหมดก็เลยไม่มีการกั๊กช่วงไหนไว้เล่นใหญ่ในช่วงไคลแมกซ์ พอได้ดูตัวละครคร่ำครวญร้องไห้มาเป็นชั่วโมงก็เลยค่อนข้างชาชิน ภาพบนจอร้องไห้กันจะเป็นจะตายแต่สุดท้ายก็ไม่ได้อารมณ์ร่วมจากคนดูอย่างที่ควรจะเป็น ถ้าพิจารณาจากเนื้อหาของหนังแล้ว The Light Between Ocean ควรจะเป็นหนังที่พาคนดูให้เสียน้ำตาฟูมฟายได้เลย

THE LIGHT BETWEEN OCEANS

สรุปได้ว่า The Light Between Ocean เป็นหนังดราม่าโรแมนติก เนื้อหาหนักและเครียด แต่น่าติดตามไม่น่าเบื่อ การแสดงอยู่ในระดับยอดเยี่ยม ภาพสวย มีข้อคิดฝากกลับมาให้ได้หวนคิดตามว่าถ้าเป็นเราในสถานการณ์นั้นจะทำอย่างไร หัวใจหลักของหนังเป็นตัวอย่างที่ดีมากของการ “ให้อภัย” เสียนิดเดียวครับที่ผู้กำกับยังไม่รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา ไม่งั้นจะทำให้ The Light Between Ocean เป็นหนังเป็นหนังเรียกน้ำตาได้น่าจดจำอีกสักเรื่อง

Play video