Jane + Jennis + Cherprang + Mobile + Music
ลังจากที่ต้องเลื่อนฉายในโรงภาพยนตร์เพราะพิษ COVID-19 มากว่าสองเดือน ในที่สุด ภาพยนตร์สารคดีเรื่องที่สองของ BNK48 ที่ว่าด้วยช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของวง ทั้งการมาของรุ่นที่ 2 และการเลือกตั้ง Senbatsu สุดเข้มข้นและกดดันอย่าง BNK48: ONE TAKE ฝีมือการกำกับของนางเอกสาว “โดนัท-มนัสนันท์ พันเลิศวงศ์สกุล” ก็ได้ฤกษ์ฉายสักที

แต่ความพิเศษก็คือการฉายในครั้งนี้ก็คือ เป็นการเปลี่ยนจากการฉายในโรงหนัง ไปฉายทาง Netflix แทน กลายเป็นสารคดีไทย Originals เรื่องแรกของ Netflix ที่เล่าเรื่องช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของวง ทั้งช่วงเหตุการณ์เลือกตั้งครั้งแรก และการมาของรุ่นที่ 2 รวมถึงเรื่องราวของชีวิตการเป็นไอดอลที่เป็นทั้งเพื่อน และเป็นคู่แข่งไปด้วยในเวลาเดียวกัน

Music + Jane + Jennis + Cherprang + Mobile

แต่ไม่ต้องห่วงว่าสมาชิก BNK48 ทั้ง 5 คนอย่าง เฌอปราง เฌอปราง อารีย์กุล เจน กุลจิราณัฐ อินทรศิลป์ มิวสิค แพรวา สุธรรมพงษ์  โมบายล์ พิมรภัส ผดุงวัฒนะโชค และ เจนนิษฐ์ เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ จะมากันแบบเครียด กดดัน น้ำตาไหลเหมือนในหนัง เพราะวันนี้พวกเธอมากันแบบสดใสมาก ๆ และพร้อมจะตอบคำถาม ตามคำเชิญของ Netflix ประเทศไทยที่เชิญ #beartai ให้ไปสัมภาษณ์น้อง ๆ ในรูปแบบ Group Interview

Music + Mobile + Cherprang + Jane + Jennis

ลองมาฟังพวกเธอกันหน่อยว่า พวกเธอได้ดูหนังกันไปแล้วหรือยัง และถ้ายัง พวกเธอจินตนาการหน้าตาของสารคดีเรื่องที่ 2 ของ BNK48 เอาไว้อย่างไรกันบ้าง!
(คลิกที่ NEXT เพื่ออ่านบทสัมภาษณ์ได้เลยครับ)

มิวสิค – แพรวา สุธรรมพงษ์

โมบายล์ – พิมรภัส ผดุงวัฒนะโชค

เจนนิษฐ์ – เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ


ย้อนไปถึงการเลือกตั้งครั้งที่ 1 (BNK48 6th Single Senbatsu General Election) ยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้ไหม ตอนนั้นรู้สึกกดดันอย่างไรบ้าง เคยคิดบ้างไหมว่าจะต้องเผชิญกับความกดดันมากขนาดนี้

Music

มิวสิค : ตอนนั้นเครียดเรื่องคอนเสิร์ตมากกว่าค่ะ เพราะว่าเรามีคอนเสิร์ตในรอบเช้าก่อนในวันประกาศ  (BNK48 Space Mission Concert) รวมถึงคอนเสิร์ตในวันถัดไป (AKB48 Group Asia Festival) ที่ยังเต้นไม่ค่อยได้ ก็เลยกังวลกับตรงนั้นมากกว่าค่ะ 

Mobile

โมบายล์ : กังวลตรงที่มันจะมีพิธีการถือป้ายต่าง ๆ แม้ว่าหนูจะเคยเห็นมาแล้วตอนเลือกตั้งของรุ่นพี่ AKB48 แต่ว่าก็ยังไม่เคยได้ลองทำ พอได้มาทำครั้งแรกก็ตื่นเต้นค่ะ ตื่นเต้นว่าจะยืนถูกมั้ยน้า อะไรแบบนี้ค่ะ

Jennis

เจนนิษฐ์ : กังวลเรื่องซ้อมมากกว่าเหมือนกันค่ะ เพราะว่าก่อนหน้านั้นก็มีงานยุ่ง ๆ กัน แล้วก็มีถ่ายหนังมีอะไร เหมือนกึ่ง ๆ จะยังไม่พร้อม แต่ก็ต้องทำการแสดง โดยเฉพาะคืนก่อนวันถัดไป ก็คืองาน Asia Fest เราก็ต้องซ้อมกันเองโดยที่ไม่ได้ซ้อมร่วมกับเมมเบอร์ต่างชาติ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเต้นเหมือนกันไหม อะไรแบบนี้ คืนนั้นเราต้องมาซ้อมกันในคืนนั้นเลย

Mobile

ความรู้สึกของการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว กับครั้งนี้ที่เป็นการประกาศผลแบบออนไลน์ มันมีความรู้สึกแตกต่างกันบ้างไหม

มิวสิค : ดรอปลงไปเยอะมากค่ะ เพราะว่ามันเป็นแค่การ Call กัน มันเป็นความรู้สึกเหงา ๆ มากกว่า เพราะว่าถ้าเป็นงานปกติก็จะมีเพื่อนให้จับมือ ให้กุมมือกัน แต่ว่าคราวนี้มันไม่มีอะไรแบบนั้น ก็เลยต้อง Call กันด้วยโทรศัพท์แทน เมมเบอร์อยู่กันเพียบเลยค่ะ (หัวเราะ)

โมบายล์ : แตกต่างมากค่ะ เพราะว่าเหมือนครั้งที่แล้วมันมีการบิลท์อารมณ์เยอะมาก มีทั้งแฟนคลับ มีทั้งบรรยากาศ มีฉากอลังการงานสร้างมาก (หัวเราะ) ที่สำคัญคือมันเป็นครั้งแรกด้วย ครั้งที่สองเหมือนอย่างที่พี่สิคบอกคือ ต้องอยู่คนเดียวอะไรแบบนี้ค่ะ เราไม่ได้มีเพื่อนที่ต้องคอยบอกว่า “จะถึงฉันแล้วนะ” อะไรแบบนี้ (หัวเราะ) มันขาดตรงนี้ไป

เจนนิษฐ์ : นอกเหนือจากเรื่องบรรยากาศแล้ว ทุกคนก็น่าจะไม่ค่อยตื่นเต้นหรือกังวลเท่ากับครั้งแรกมาก แต่ก็อาจจะมีความเครียด สำหรับบางคนนะคะ แต่สำหรับหนูแล้ว หนูว่าไม่ได้ลุ้นหรือกดดันเท่าครั้งแรกค่ะ

แล้วตอนที่ทราบอันดับของตัวเองในการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ที่ผ่านมา รู้สึกกันอย่างไรบ้าง

Jennis

เจนนิษฐ์ : รู้สึกเฉยๆ ค่ะ ไม่ผิดคาด เพราะว่าก็คาดเดาไว้ประมาณนี้เลย ก็รู้สึกโอเคที่ยังติดอยู่ในอันดับที่โอเค ก็เลยรู้สึกปกติ (ยิ้ม)

โมบายล์ : ของหนูก็มีเสียใจบ้างนิดหน่อยค่ะ แบบว่ามันตกใจ อะไรแบบนี้ แต่ว่าพอผ่านมาจากวันนั้นไปก็เฉย ๆ แล้ว ทำใจได้ เพราะว่ารู้สึกว่าเหมือนเราผ่านปีแรกมาแล้ว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เหมือนมันเป็นแค่สิ่ง ๆ หนึ่ง

มิวสิค : หนูก็รู้สึกไม่ค่อยกังวลหรือรู้สึกแย่เท่าไหร่ เพราะว่าได้อันดับเท่าเดิม (อันดับที่ 3) พอดีเลย แต่ว่ามันก็จะมีความรู้สึกที่ว่า เราจะย่ำอยู่ตรงนี้ไปตลอดกาลเลยหรือเปล่า เราจะไม่มีโอกาสก้าวข้ามจากตรงนี้ไปได้เลยใช่มั้ย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กังวลอะไรเท่าไหร่ค่ะ

Music

ความรู้สึกระหว่างความรู้สึกที่ต้องแข่งขันกับตัวเอง กับความรู้สึกที่ต้องแข่งขันกับเพื่อน อะไรที่ยากและกดดันตัวเองมากกว่ากัน

Mobile

โมบายล์ : ถ้าสมมติว่าเราไต่อันดับขึ้นไปได้ ก็อาจจะมีคนที่แซงเราขึ้นไปได้ด้วย เหมือนมีคนที่คอยโจมตี แต่ถ้าเราขึ้นไปได้ มันก็จะมีคนที่มาคอยโจมตีเราเหมือนกัน มันก็เลยกดดันว่า ฉันควรจะอยู่จุดไหนดี อะไรแบบนี้ค่ะ

มิวสิค : หนูกังวลกับเพื่อน ๆ ว่าเพื่อนจะรู้สึกยังไง เพราะว่าส่วนตัวหนูรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่มันคาดเดาอะไรไม่ได้จริง ๆ หนูไม่ได้เผื่อใจอะไรไว้อยู่แล้ว เพราะหนูรู้ว่าความคาดหวังมันจะทำให้เราเจ็บ หนูก็เลยเลือกที่จะไม่คาดหวังดีกว่า แต่หนูก็อยากรู้ว่าเพื่อนจะรู้สึกยังไง ตอนที่ประกาศ เพราะว่าช่วงที่ประกาศชื่อจริง ๆ ออกมาแล้วเราเห็นชื่อเพื่อนเราที่เราไม่คิดว่าจะอยู่ตรงนี้ เราก็จะรู้สึกว่า มันหวิวมากจริง ๆ บอกไม่ถูก

เจนนิษฐ์ : ส่วนตัวหนูไม่ได้กดดันอะไร แต่ว่ามันก็จะคิดว่าอยากให้เพื่อน ๆ ได้อันดับที่ตัวเองจะไม่เสียใจ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามันก็ไม่ได้มีพื้นที่พอสำหรับทุกคน

ในฐานะที่ทั้งสามคนเองก็ผ่านการเป็นเซนเตอร์กันมาทั้งหมดแล้ว พอได้ทราบอันดับของตัวเองแล้ว แต่ละคนยังมีความอยากหรือปรารถนาที่จะเป็นเซนเตอร์กันอยู่ไหม

เจนนิษฐ์ : ก็ยังอยากเป็นเซนเตอร์ในเพลงที่ชอบ ที่ยังไม่ถูกเอามาใช้ ซึ่งมันก็ยังเหลืออยู่ แบบว่า เฮ้ย ชอบเพลงนี้ ก็อยากจะเป็นเซนเตอร์เพลงนี้เหมือนกัน

Jennis

มิวสิค : ของหนู ส่วนใหญ่อยากจะเป็น Front line อยู่แถวหน้ามากกว่า ถ้าเกิดว่าเป็นเซนเตอร์ อยากเป็นเซนเตอร์เพลงที่ตัวเองชอบค่ะ

โมบายล์ : ของหนูก็มีมุมที่อยากจะเป็นเซนเตอร์เหมือนกัน แต่ก็มีอีกมุมที่แอบกลัวอยู่เหมือนกัน กลัวว่าถ้าได้ทำแล้วจะทำได้ดีหรือเหมาะสมที่จะยืนอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า

คิดว่าทั้งสามคนได้บทเรียน หรือได้อะไรจากความกดดันในครั้งนั้นบ้าง

เจนนิษฐ์ : สำหรับหนู การเป็นเซนเตอร์ จะโดดเด่นออกมามากเพื่อนก็ไม่ดี หรือว่าน้อยไปก็ไม่ได้ มันต้องมีการบาลานซ์ให้การแสดงของทุกคนไปด้วยกันได้

โมบายล์ : ของหนูก็คือได้เห็นจุดบกพร่องของตัวเอง ตอนที่เรายืนอยู่ตรงนั้น เราก็จะเห็นได้เยอะว่า ตรงไหนมีจุดบกพร่องที่เราจะต้องเอามาแก้ไขให้ดีขึ้นบ้าง

Music

มิวสิค : รู้สึกว่าการไม่คาดหวังเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเลย ตอนที่ได้เป็นเซนเตอร์ เพราะอะไรที่เราคิดไว้ว่ามันควรจะเป็นมันก็อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเสมอ อย่าไปคิดว่าการเป็นเซนเตอร์แล้วจะสวยงาม เพราะว่ามันก็ไม่ได้สวยงามเสมอไป มันมาพร้อมกับความกดดัน

ได้ดูสารคดีเรื่องนี้บ้างแล้วหรือยัง

ตอบพร้อมกัน : ยังค่ะ (หัวเราะ)

ได้จินตนาการไว้บ้างไหมว่า หนังในความคิดของทั้งสามคนที่ได้สัมภาษณ์ไว้ จะมีหน้าตาออกมาเป็นยังไง

Music + Mobile + Jennis

เจนนิษฐ์ : นึกไม่ค่อยออกเลย แต่รู้ว่ามันน่าจะแตกต่างจากอันแรก (ฺBNK48 : Girls Don’t Cry (2561)

โมบายล์ : คือหนูเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง การที่จะชูประเด็นอะไรแบบนี้ หนูก็อาจจะพูดไม่ค่อยได้ รู้สึกว่าน่าจะได้เห็นในอีกมุม สมมติว่าถ้ามีฉากร้องไห้ ก็จะได้เห็นเราร้องไห้ หรือเรื่องของความเจ็บปวดที่ได้ถ่ายทอดออกมา อาจจะไม่ได้เป็นคำพูด แต่เป็นภาพของเราในอีกมุมหนึ่ง อะไรแบบนี้

มิวสิค : (ยิ้ม) มันจะมีบางฉากที่เขิน ไม่อยากให้เอาออกเลย (หัวเราะ) หนูหวังว่าให้เขาตัดออกมาก ๆ เลย หนูเขินมาก หนูเลยตื่นเต้นว่า มันจะมีฉากนั้นมั้ยน้า (หัวเราะ)

เจนนิษฐ์ : ต้องรอดูพร้อมกัน (ยิ้ม)

ถ้ายังไม่ได้ดู งั้นขอให้ฝากสารคดีเรื่องนี้กับแฟน ๆ หน่อย

เจนนิษฐ์ : จริง ๆ ตอนแรกเราจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ แต่สุดท้ายก็ติดโควิด แต่ว่าพอเป็น Netflix มันดีตรงที่ว่าทุกคนจะสามารถดูได้ทั่วโลกพร้อมกัน อยู่ที่ไหนก็ดูได้ถ้ามีโทรศัพท์อะไรแบบนี้ค่ะ ก็เลยเป็นสิ่งที่ดีที่ทุกคนจะได้มารับรู้เรื่องราวด้านใหม่ ๆ ที่โตขึ้นจาก BNK48 : Girls Don’t Cry ด้วย สำหรับคนที่ยังไม่เคยดู มาดูก็น่าจะเข้าใจนะ ไม่ต้องดูแบบเรียงกันอะไรแบบนี้ อยากจะดูอันนี้แล้วย้อนไปดูเรื่องที่แล้วก็น่าจะเข้าใจได้ มีมุมของความเป็นคนธรรมดา มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น

โมบายล์ : ก็อาจจะมีบางฉากที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มีหลายฉากมาก อะไรแบบนี้ค่ะ หนูก็ยังไม่รู้เหมือนกัน เพราะว่ายังไม่ได้ดู (หัวเราะ) แต่หนูรู้สึกว่ามันน่าจะตื่นตาตื่นใจสำหรับทุกคน

มิวสิค : หนูคิดว่าน่าจะได้เห็นมุมที่บางทีเราไม่เคยได้แฟนคลับเห็น อย่างเช่นคลาส Acting แฟนคลับไม่เคยเห็นเราตอนอยู่ในคลาสมาก่อน ในหนังน่าจะได้เห็นกันว่ามันจะมีรสชาติแบบไหน ในการเข้าคลาสบ้าง

Mobile + Jennis + Music

ทั้ง 3 คนคิดว่า คำว่า “ONE TAKE” ในความหมายของแต่ละคนหมายถึงอะไร

เจนนิษฐ์ : สำหรับหนู ONE TAKE มันเหมือนชีวิตคนน่ะค่ะ น่าจะเป็นแบบว่า ชีวิตเรามันทำได้แค่รอบเดียว

โมบายล์ : กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้

เจนนิษฐ์ : ถูกต้อง เหมือนว่าชีวิตเรามีแค่ ONE TAKE ต้องใช้ให้คุ้ม!

โมบายล์ : ONE TAKE คือ แก้ไขไม่ได้ มันเป็นชีวิตของเราที่ดำเนินเรื่องมา

เจนนิษฐ์ : เหมือนเป็นนักแสดงที่เขียนบทเอง (โอ้โหทั้งวง)


(อ่านต่อหน้า 3)

Jane + Cherprang

เฌอปราง – เฌอปราง อารีย์กุล

เจน – กุลจิราณัฐ อินทรศิลป์


เล่าถึงการเลือกตั้งครั้งที่ 2 (ฺBNK48 9th Single Senbatsu General Election) ที่ผ่านมาหน่อยว่ารู้สึกอย่างไรกันบ้าง

Cherprang

เฌอปราง : เป็นมิติใหม่ค่ะ เพราะว่าเป็นการประกาศผลทางออนไลน์

เจน  : ใช่ค่ะ ก็แปลกใหม่ดีค่ะ แอบเสียใจที่ไม่ได้เจอหน้าเมมเบอร์ทุก ๆ คนตอนประกาศผลไปด้วยกัน แล้วก็รู้สึกดีใจค่ะ (ยิ้ม)

เฌอปราง : มันเป็นรูปแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งก็ต้องชื่นชมทีมงานที่แก้ปัญหาตรงนี้ แล้วก็พยายามที่จะถ่ายทอดเรื่องราวให้คล้ายกับรูปแบบเดิมมากที่สุดในสถานการณ์แบบนี้ค่ะ ซึ่งก็เรียกได้ว่าทำได้ค่อนข้างโอเคมาก ๆ เลยในความรู้สึกของเฌอนะ อีกอย่างคือ เราก็ไม่ได้คิดว่ามันจะอินขนาดนี้ ด้วยความที่เราไม่ได้อยู่ในพื้นที่ใหญ่ หรือมีความกดดัน แต่ว่าจริง ๆ ความรู้สึกตอนนั้นก็ต่างกันนิดหนึ่ง น้อยกว่าแต่ว่าก็หนักพอสมควร

เจน  : เพราะว่าเราก็ Call อยู่ด้วยกัน (หัวเราะ)

เฌอปราง : สุดท้ายก็ตื่นเต้นจนต้องมีอีกสายหนึ่งคอยติดต่อกันไว้ตลอดค่ะ

ย้อนไปถึงการเลือกตั้งครั้งที่ 1 บ้าง ยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้ไหม ตอนนั้นรู้สึกกดดันอย่างไรบ้าง

เฌอปราง : ตอนนั้นคือ มันเป็นครั้งแรก เราไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

เจน  : ใช่ พอมันเป็นครั้งแรก ทุกคนก็ลุ้นน่ะค่ะ เพราะมันไม่เคยเกิดขึ้น แล้วมันก็กดดันมาก ๆ ด้วย เหมือนตอนนั้นหลาย ๆ คนก็คาดหวัง

ที่บอกว่าคาดหวัง ทั้งคู่คาดหวังไว้ขนาดไหน

เฌอปราง : ก็เรียกว่าเป็นครั้งหนึ่งที่จะมีโอกาสได้อยู่ในตำแหน่ง ในที่ตรงนั้น แล้วก็รู้สึกว่า เราเองก็มีโอกาสที่สูงเหมือนกัน เมื่อมีโอกาส เราก็อยากรู้ว่าเราจะทำได้ไหม จะพิสูจน์ตัวเองได้หรือเปล่า จากการที่ออกสื่อแล้วมีการพูดถึงเรา เรียกชื่อเรา ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เซนเตอร์ในบางครั้ง

Jane

เราก็รู้สึกว่าตรงนี้ก็คงเป็นจุดหนึ่งที่จะบอกกับทุก ๆ คนได้ว่า เรามีแฟนคลับอยู่จริง ๆ ก็ดีใจที่แฟน ๆ ทำสำเร็จ แล้วก็พิสูจน์ตัวเองเพื่อความสบายใจ (ยิ้ม) ได้พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นแล้ว ก็คงไม่น่าจะมีข้อกังขาเกิดขึ้นกับแฟน ๆ ของเราอีก ซึ่งก่อนหน้านั้นก็จะกดดันมาก เครียด ไม่รู้ว่าจะวางตัวยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

เพราะตอนนั้นเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรบ้าง เรามีทั้งความกดดัน ความคาดหวังจากตัวเราเอง และจากแฟน ๆ ด้วย ส่วนตัวเฌอเองคาดหวังว่า พิสูจน์ได้ว่าทำไมเขาเลือกเราไปทำงานบางอย่าง คิดว่า เออน่า แฟนคลับคงจะรู้นะ และด้วยความที่เราก็เป็นกัปตันด้วย เราก็อยากให้น้องได้อันดับที่ดี ๆ ด้วย

ทีนี้เราจะวางตัวยังไงดี จะมีปฏิกิริยากับใครยังไงดี มันก็ทำให้คิดไปหมดน่ะค่ะ เราไม่รู้ว่าตอนที่เราได้ เขาจะยินดีกับเราด้วยไหม เขาจะ… (ทำเสียงเยาะเย้ย) แบบว่าเยาะเย้ยเราหรือเปล่า เราไม่รู้เลยไงว่าใครจะรู้สึกแบบไหน คนที่เขากำลังเสียใจอยู่ก็อาจจะไปทำให้เขาเสียใจยิ่งกว่าเดิมหรือเปล่า ก็เลยเป็นความกดดันรูปแบบหนึ่งที่เราไม่รู้ว่าจะวางตัวยังไงค่ะ

Cherprang

แล้วการที่เรากดดันกับตัวเอง กับกดดันระหว่างเมมเบอร์ที่เป็นพี่น้องกัน แต่ก็ต้องแข่งกันด้วย อะไรมันทำให้กดดันมากกว่ากัน

เฌอปราง : มันผสมกันไปหมด

เจน : ใช่ สำหรับหนูนะ หนูรู้สึกว่า การที่เรามีรุ่นที่ 2 เข้ามาด้วย ตัวเลือกก็ยิ่งเยอะขึ้น โอกาสที่เราจะได้อันดับที่สูง ๆ มันก็อาจจะน้อยลงไปอีก

เฌอปราง : เพราะว่ามีคนเข้ามาร่วมด้วย จากที่ครั้งแรกเป็นรุ่นหนึ่งทั้งหมด พอมาครั้งนี้ 16 คนก็อาจจะมีรุ่น 2 เข้ามาบ้าง ซึ่งเราก็รู้สึกว่า รุ่นหนึ่งที่เขาอยู่ตรงนั้นแล้วอันดับถอยลงไป เขาจะรู้สึกยังไง เราจะบอกเขายังไงดี

เจน : หรือบางคนตั้งแต่เข้าวงมาก็ยังไม่ได้อะไรเลย พอมีรุ่น 2 เข้ามา ก็โดนลดอันดับลงไปอีก

เฌอปราง : แต่ว่ามันก็เป็นจุดที่เรายอมรับว่ามันคืองาน คือความชอบของแต่ละคน ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเราจะทำให้เขามีความสุขในจุดที่เขายืนอยู่ได้ยังไง ถ้าคนนั้นแฮปปี้ หรือว่าเอนจอยกับสิ่งที่ทำ เราก็จะสบายใจ รู้สึกดีที่จะได้ทำงานร่วมกันกับเขามาก ๆ แต่ถ้าเขาไม่มีความสุขล่ะ เราจะเข้าหายังไงดีนะ เขาจะมีอะไรยังไงกับเราหรือเปล่า

มันเลยเป็นที่มาของประโยค “เราไม่รู้นะ ว่าถ้าเราได้ที่ 1 แล้วจะมีใครยินดีกับเรามั้ย”

เฌอปราง : ใช่ ส่วนตัวของเฌอเองนะ ก็เหมือนที่เห็นนั่นแหละ ที่เฌอดูไม่ได้ดีใจขนาดนั้น ดูเศร้า ๆ มากกว่า เครียดว่าเราจะได้ตำแหน่งนี้จริง ๆ เหรอวะ แต่คิด ๆ ดูแล้ว มันก็ได้นี่หว่า เพราะว่าแฟนคลับให้มา มันก็คงแปลว่าใช่แหละ แต่สิ่งที่คิดในใจคือ พี่ ๆ น้อง ๆ เขาจะรู้สึกยังไงกับเรา

Cherprang

เพราะเราก็ไม่ได้เต้นหรือร้องเพลงเก่งไปกว่าเขาเลย เราแย่ไปกว่าเขาทุก ๆ อย่าง มันก็เลยเป็นที่มาของจังหวะสุดท้ายนั่นแหละ เพราะตรงนั้นคือเครียดจริง ๆ จะเป็นลมอยู่แล้วตอนนั้น ซึ่งถ้าเก็บเอาไว้ไปถามหลังฉากก็ไม่รู้ว่ายังจะกล้าถามอยู่มั้ย เพราะทุกคนก็มีเรื่องของตัวเอง แต่จังหวะนั้นคือเรา ณ ตอนนั้น เพราะฉะนั้น จังหวะนี้แหละที่ฉันจะถามได้ละมั้ง

เจน : คิดว่าตอนที่อยู่ข้างหลัง ทุกคนน่าจะอยู่กับตัวเอง

เฌอปราง : อืม มันเป็นเรื่องของแต่ละคน แต่ว่าตอนนั้นมันเป็นช่วงเวลาของฉัน ก็เลยขอหันไปถามนิดหนึ่งแล้วกัน ก็ดีใจมากที่น้อง ๆ วิ่งมากอด ดีใจมาก รู้สึกโล่งใจ รู้สึกมีแรงที่จะอยู่กับวงต่อด้วยค่ะ

Jane

ได้ดูสารคดีเรื่องนี้บ้างแล้วหรือยัง

ตอบพร้อมกัน : ยังค่ะ

ได้จินตนาการไว้บ้างไหมว่า ตัวหนังในความคิดของทั้งเฌอปรางและเจน จะมีหน้าตาออกมาเป็นยังไง

เฌอปราง : (เน้นเสียง) บอกตามตรงว่า ไม่รู้เลยค่ะ (หัวเราะ)

เจน : จินตนาการไม่ออกเลย

เฌอปราง : ไม่รู้เลยแม้แต่น้อย เพราะหนูไม่รู้ว่าเขาถ่ายกันตอนไหนบ้างค่ะ (กระซิบ)

เจน : หนูรู้ว่าในหนังจะต้องมีฉากเรียนการแสดงแน่นอน หนูมั่นใจค่ะ!

Jane

เฌอปราง : เพราะอันนั้นเรารู้ว่าเขาถ่ายไง (หัวเราะทั้งวง) บางทีอยู่ ๆ เขาก็มา บางทีก็แอบ ๆ ซึ่งบางทีหนูก็ไม่รู้ตัวว่าเขาถ่ายอยู่ด้วย หนูไม่รู้จริงๆ

เจน : บางทีหนูก็นึกว่าตากล้องคือเป็นกล้องของทีมเรา ไม่รู้ว่ากำลังถ่ายอะไรอยู่กันแน่

เฌอปราง : แล้วตอนที่พี่เขามา พี่เขาไม่ได้บอกว่า “วันนี้เราจะมีถ่ายนะ” อยู่ ๆ เขาก็มาแทรกซึมน่ะ ไม่รู้ว่าเริ่มถ่ายตอนไหนด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มถ่ายทำกันแล้วเหรอ (หัวเราะ) ตอนคลาสการแสดงก่อนหน้านี้เขาก็ถ่ายไปแล้ว เหมือนว่าจะเริ่มตอนช่วงนั้นนะ แต่จริง ๆ เขาเริ่มถ่ายมาก่อนหน้านั้นแล้วด้วย

ถ้ายังไม่ได้ดู งั้นขอให้ฝากสารคดีเรื่องนี้กับแฟน ๆ หน่อย

เจน  : ก็ขอฝากภาพยนตร์สารคดี Originals นะคะ…(นึกเหมือนลืมอะไรสักอย่าง)

เฌอปราง : (ตกคำว่า) สารคดีไทย

เจน  : ฮืออออ… ลืม (หัวเราะ) เอาใหม่ค่ะ ก็…ขอฝากภาพยนตร์สารคดีไทย Originals เรื่องแรกบน Netflix ค่ะ ก็สามารถรับชมได้ตั้งแต่ (เล่นเสียง) 18 มิถุนายน พร้อมกันทั่วโลกนะคะ (หัวเราะสดใส) 

Cherprang + Jane

เฌอปราง : ค่ะ ฝากด้วยนะคะ เพราะพวกเราก็ยังไม่รู้ว่าจะทำให้ทุกคนรู้สึกอย่างไร แต่ว่าที่ได้ยินจากที่สัมภาษณ์ของพี่ ๆ สื่อที่พูดถึงก็รู้สึกว่าน่าสนใจมาก รวมถึงน่าจะทำให้ตกตะกอนข้อคิด หรือว่าแรงบันดาลใจกับการใช้ชีวิตกับทุกคนว่า ยังมีคนที่ต้องเผชิญกับความกดดันในรูปแบบต่าง ๆ เหมือนกัน

เฌอปราง : ใช่ รวมถึงนี่ก็อาจจะเป็นภาพเบื้องหลังที่ยังไม่เคยเห็นว่าการทำงานของศิลปิน หรือวงไอดอลที่ทำงานกัน ที่เห็นว่าสดใสเฮฮา ที่ทุกคนได้รับพลังงานกันในเบื้องหน้า แต่ว่าเบื้องหลังจริง ๆ อาจจะมีเรื่องราวให้เรียนรู้มากกว่านั้น แล้วก็อาจจะไม่ได้สวยหรูอย่างที่ทุกคนคิดก็ได้

(เสียงเฌอแตม) ยังไงก็ฝากไปดูกันด้วยนะฮะ~

คำถามสุดท้าย-ทั้ง 2 คนคิดว่า คำว่า “ONE TAKE” ในความหมายของแต่ละคนหมายถึงอะไร

Cherprang + Jane

เจน  : สำหรับเจนมันก็หมายถึง “ONE TAKE” น่ะค่ะ ไม่มี “TAKE TWO” แล้ว 

เฌอปราง : ไม่มีการเทกซ้ำแล้ว

เจน  : เหมือนว่าเรามีโอกาสแค่ครั้งเดียว เราต้องทำให้คิดซะว่า เหมือนเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเราค่ะ

เฌอปราง : สำหรับเฌอเอง ถ้าเกิดได้ยินว่า “ONE TAKE ผ่าน! “ (ทำท่าตะลึง) …ว้าว! แสดงผ่านในเทกเดียวได้อย่างไร! (หัวเราะ)

แต่ถ้าในความหมายนี้ก็คือ มันเรียลมาก มันไม่มีการถ่ายทำซ้ำค่ะ มันถูกถ่ายแล้วและนำไปใช้เลย โดยที่ไม่รู้ว่าไอ้ที่ถูกถ่ายสำหรับเรามันโอเคหรือเปล่า มันดีหรือไม่ดีอย่างไร เพราะฉะนั้นมันก็หมายถึงว่า “My real life” ค่ะ (หัวเราะ)


อืม…บอกก็ได้ว่าจริง ๆ #beartai ได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้ไปก่อนแล้ว

เจน : เป็นไงบ้างคะ ขอสัมภาษณ์หน่อย (หัวเราะ)

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส