หลังปล่อยออกมาอย่างเซอร์ไพรส์และไม่ให้แฟน ๆ ได้ตั้งตัวกับ ‘folklore’ อัลบั้มชุดล่าสุดของสาวเทย์ เทย์เลอร์ สวิฟต์ที่ประกอบไปด้วยบทเพลงอันสดใหม่ในแบบที่แฟน ๆ ของเธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน มันทั้งงดงาม นุ่มนวล ลุ่มลึก หลากล้นไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก ผสานกับท่วงทำนองที่งดงามลงตัว กับการเล่าเรื่องที่เป็นเสน่ห์และเป็นจุดเด่นที่ได้รับคำชื่นชมเป็นอย่างมากสำหรับงานเพลงชุดนี้

ปกอัลบั้ม folklore

บทเพลงทั้ง 16 เพลงจากอัลบั้ม เกิดขึ้นจากการที่สาวเทย์ซุ่มแต่งและอัดเพลงเหล่านี้ด้วยตัวของเธอเองคนเดียวในช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา ด้วยความทุ่มเทและกลั่นกรองออกมาจากจินตนาการ ความฝัน ความกลัว และความคิดใคร่ครวญต่าง ๆ ของเธอ และการได้ทำงานร่วมกับคนดนตรีคุณภาพที่เป็นฮีโรของเธออย่าง แอรอน เดสเนอร์ (มือกีตาร์จากวง The National) , ไบรซ์ เดสเนอร์ ฝาแฝดของแอรอน (หนึ่งในสมาชิก The National ด้วยเช่นกัน) , จัสติน เวอร์นอน หรือ บอน อิแวร์ (Bon Iver) , วิลเลียม โบเวรี และ แจ็ค แอนโทนอฟฟ์ เจ้าเก่า (ที่มารับบทโปรดิวเซอร์ร่วมกันกับแอรอนและสวิฟต์เอง) เห็นรายชื่อผู้ร่วมงานคนใหม่ ๆ แล้วก็รู้สึกเซอร์ไพรส์อีก พอได้ฟังงานเพลงแล้วก็รู้เลยว่าช่างเป็นส่วมผสมใหม่ที่น่าตื่นใจมาก ๆ สำหรับงานเพลงของเทย์เลอร์ สวิฟต์ บอกเลยว่างานนี้เธอได้ฐานแฟนเพลงเพิ่มขึ้นไปอีกแน่นอน

แอรอน เดสส์เนอร์ หนึ่งในโปรดิวเซอร์ของ folklore ผู้มอบความสดใหม่ให้กับบทเพลงของเทย์เลอร์ สวิฟต์

มีเรื่องราวหลากหลายที่รอให้เราได้รับรู้ ไม่ว่าคุณจะฟังบทเพลงในอัลบั้มนี้แล้วหรือไม่ เรื่องราวต่อไปนี้คือสิ่งที่น่าสนใจที่จะทำให้คุณได้สัมผัสกับบทเพลงเหล่านี้อย่างอิ่มเอมมากขึ้น ไปสัมผัสทุกเรื่องราวจากทุกบทเพลงของอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมที่สุด ณ ขณะนี้ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ผ่านการเล่าของแอรอน เดสส์เนอร์หนึ่งในโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มนี้กันครับ

the 1

เพลง“ 1” และ“ hoax” เพลงแรกและเพลงสุดท้ายของอัลบั้ม เป็นเพลงสุดท้ายที่พวกเราทำ เราทำอัลบั้มเสร็จก่อนหน้านั้นและเราคิดว่ามันเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่จากนั้นเทย์เลอร์ก็กลับเข้าไปใน ‘โฟลเดอร์แห่งไอเดีย’ (folder of ideas) ที่ผมแชร์ให้กับเธอ

[ หมายเหตุ : หลายเพลงของเดสเนอร์เริ่มต้นจากการที่เขาส่งไฟล์ที่เป็นร่างแนวคิดของเพลงจากโฟลเดอร์แห่งไอเดียไปยังสวิฟต์ซึ่งเธอก็จะตอบกลับด้วยการอัปเดตความคิดเห็นและส่วนเพิ่มเติมของเธอ บางครั้งสวิฟต์เองก็จะเริ่มต้นเพลงด้วยการส่งวอยซ์เมโมไปยังเดสเนอร์ แล้วจากนั้นเขาก็จะทำมันต่อและทำดนตรีขึ้นมาจากไอเดียนั้น ต่อมาเดสเนอร์ก็จะส่งไฟล์ให้กับแฝดของเขาคือ ไบรซ์ เดสส์เนอร์ และผู้ร่วมโพรเจกต์คนอื่น ๆ เดสเนอร์เรียกกระบวนการทำงานแบบนี้ว่า “การส่งไฟล์วนไปรอบ ๆ”]

ผมคิดว่าในทางใดทางหนึ่งเธอไม่ได้ตระหนักว่าเธอกำลังเขียนเพลงสำหรับอัลบั้มนี้หรือเขียนให้กับอนาคต เธอเขียน “1” เสร็จ แล้วเธอเขียน“ hoax” ในสองสามชั่วโมงต่อมา และจากนั้นเธอก็ส่งสองเพลงนี้มาในตอนกลางดึก เมื่อผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ผมก็เขียนตอบกลับเธอไปก่อนที่เธอจะตื่นว่า “เพลงพวกนี้จะต้องอยู่ในอัลบั้ม” และพอเธอตื่นขึ้นมาเธอก็บอกกับผมว่า “ฉันเห็นด้วย” [หัวเราะ] นี่มันเป็นตอนจบของหนังสือคุณรู้มั้ย ?

เป็นที่ชัดเจนว่า “1” ไม่ได้เขียนจากมุมมองของเธอ มันเขียนจากมุมมองของเพื่อนคนหนึ่ง แต่มันมีอารมณ์ความขุ่นข้องใจและความดิบที่สะท้อนอยู่ในแววตาของเธอ แถมเธอยังใส่อารมณ์ขันเล็กน้อยลงไปในบทเพลงนอกเหนือไปจากความเศร้าที่ล่องลอยอยู่บนพื้นผิวและซ่อนลึกลงไปในนั้น ผมรู้สึกสนุกกับการเขียนเพลงของเธอมากเลย

เพลงนี้เริ่มจากวอยซ์เมโมที่เธอส่งมาให้ผม แล้วผมก็จัดการกับดนตรีและเสียงร้องของเธอ จากนั้น ไบรซ์ ก็จะเรียบเรียงเสียงประสานเติมซาวด์ออเคสตราลงไปสักหน่อย และโดยทั่วไปแล้วนี่จะเป็นกระบวนการสุดท้ายที่เราทำ

cardigan

นี่เป็นเพลงแรกที่เราเขียน [ต้นเดือนพฤษภาคม] หลังจากเทย์เลอร์ถามว่าผมสนใจจะทำเพลงกับเธอจากทางไกลมั้ย ผมเลยถามเธอว่า  คุณสนใจเสียงแบบไหน ? เธอบอกว่า ฉันแค่สนใจในสิ่งที่คุณทำและสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ แค่ส่งอะไรมาให้ฉัน ซึ่งสิ่งนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดที่คุณเคยทำมาเลยก็ได้” ดังนั้นผมจึงส่งโฟลเดอร์ของสิ่งที่ผมได้ทำและรู้สึกตื่นเต้นกับมันมาก ๆ ในช่วงนี้ “cardigan” เป็นร่างหนึ่งในนั้น แต่เดิมเรียกว่า“Maple” ซึ่งไอเดียเริ่มแรกกับที่เราได้ฟังใน cardigan นั้นแทบไม่แตกต่างกันเลยจะมีก็แค่เพิ่มเสียงประสานจากไบรซ์ลงไปก็เท่านั้นเอง

ผมส่งไฟล์ไปตอนราว ๆ 21.00 น. และประมาณ 14.00 น. cardigan ก็ถูกส่งกลับมาแบบมีเนื้อเพลงเต็มแล้ว นั่นคือตอนที่ผมรู้ว่ามีบางสิ่งที่บ้ากำลังจะเกิดขึ้น เธอเข้าสู่ใจกลางของดนตรีโดยตรงและเขียนเพลงออกมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เธอรู้สึกถึงมันอย่างเต็มที่แล้วก็เดินหน้าต่อไปจากตรงนั้น มันพาเรากลับไปสู่บทเรียนที่เราเรียนรู้จากชีวิตหรือประสบการณ์ในวัยเยาว์ของเราในแบบที่สวยงามมาก มีความรู้สึกของความโหยหาและความเศร้า แต่ในท้ายที่สุดมันก็ได้ถูกระบายออกมา ผมคิดว่ามันเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับดนตรีและความรู้สึกของเธอ และผมรู้เลยว่านี่มันคือแสงนำทางสำหรับส่วนที่เหลือของอัลบั้มนี้

the last great american dynasty

ผมเขียนเพลงนี้หลังจากเราทำงานด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้ว มันเป็นความพยายามที่จะเขียนบางสิ่งบางอย่างที่น่าดึงดูดใจเพิ่มมากขึ้นและมีความผลักดันให้มากขึ้น ผมยังสนใจเพลงในสไตล์แบบ In Rainbows (อัลบั้มชุดที่ 7 จากวง Radiohead) ที่มีซาวด์ของกีตาร์ไฟฟ้าที่เข้ามาและดึงคุณไว้ ผมนึกไปถึงงานของผมใน Big Red Machine (วงอินดี้โฟล์กร็อกแนวทดลองจากการร่วมงานกันของแอรอน เดสเนอร์และ บอน อิแวร์) ผมเลยสร้างโลกแห่งเสียงขึ้นมาในรูปแบบนั้น และเธอก็คลิกกับมันในทันที ตอนแรกผมนึกถึงเสียงกีตาร์ไฟฟ้าแบบฟุ้ง ๆ ลอยอยู่ไกล ๆ และมีซาวด์อิเล็กทรอนิกส์ที่ผสมไปด้วยองค์ประกอบของดนตรีโฟล์กอยู่ ผมส่งให้เธอไปก่อนที่ผมจะไปวิ่งและพอผมกลับมาจากการวิ่ง เพลงมันก็รอผมอยู่ที่ตรงนั้นแล้ว (หัวเราะ)

“ทำไมเทย์เลอร์ถึงเขียนเพลงได้เร็วจัง ?” ผมประหลาดใจ “เหมือนกับเพลงนี้ออกมาแบบสายฟ้าฟาดเลย มันน่าตื่นใจมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแชร์ไอเดียกัน ความชัดเจนในไอเดียของเธอ และวิธีที่เธอวางโครงสร้างให้กับพวกมัน มันใช่ทั้งหมดเลย แต่ผมคิดว่าเธอทำงานหนักจริง ๆ เธอทำมันไปเรื่อย ๆ จนมันเกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้น จนถึงเวลาที่เธอร้องมันจริง ๆ เธอก็ร้องออกมาจากข้างใน เธอร้องแค่ไม่กี่เทคเท่านั้นเอง จนรู้สึกว่ามันใช่แล้วล่ะ !

เธอเล่าเบื้องหลังของเพลงนี้ให้ฟัง มันเกี่ยวข้องกับ Rebekah Harkness (นักแต่งเพลง ประติมากร และนักเต้นหญิงชาวอเมริกัน) ซึ่งผู้คนเรียกเธอว่า Betty เธอแต่งงานกับทายาทแห่งเจ้าของธุรกิจน้ำมัน Standard Oil และเข้ามาในตระกูล Harkness พวกเขาซื้อบ้านในโรดไอส์แลนด์ที่ตั้งอยู่บนริมผา มันเป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนนี้ เรื่องราวของเธอที่ไม่สามารถเข้ากันได้กับสังคมนี้ เรื่องราวนี้ในท้ายสุดแล้วมันมีความเป็นส่วนตัวมาก และในที่สุดเทย์เลอร์ก็ซื้อบ้านหลังนั้น ผมคิดว่านี่มันเป็นอารมณ์แบบเรื่องเล่าพื้นบ้าน (folklore) เลยจริง ๆ ซึ่งเราทั้งคู่ไม่ค่อยทำงานในแบบนี้มาก่อนเลย

“exile” (ft. Bon Iver)

เทย์เลอร์ และ วิลเลียม โบเวรี (นักแต่งเพลงที่เขียนเพลงนี้กับเพลง ‘betty’ ในอัลบั้มนี้ร่วมกับเทย์เลอร์) แต่งเพลงนี้ด้วยกันและส่งมันมาให้ผมเพื่อเป็นตัวอย่างคร่าว ๆ ที่โดยมีเสียงร้องของเทย์เลอร์ร้องในท่อนทั้งชายและหญิง มันเป็นบทสนทนาระหว่างคู่รักสองคน ผมตีความมันและสร้างดนตรีขึ้นมาด้วยการเล่นเปียโนและใส่รายละเอียดเพิ่มเติมตามกรอบนี้ จากนั้นเราก็บันทึกเสียงร้องของเทย์เลอร์ที่ไม่เพียงร้องในส่วนของเธอ แต่ยังรวมถึงส่วนของผู้ชายด้วย

เราได้พูดคุยกันมากมายเกี่ยวกับคนที่เธอคิดว่าจะร้องเพลงนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และสุดท้ายเราก็กลับมาที่จัสติน เวอร์นอน (Bon Iver) ซึ่งเขาเป็นทั้งเพื่อนรักของผมและผู้ทำงานร่วมกัน (ในโพรเจกต์ Big Red Machine ) ผมเลยบอกกับเทย์เลอร์ว่า “ดีเลย ถ้าเขารู้สึกอินสไปร์กับเพลงนี้ล่ะก็ เขาทำมันแน่ แต่ถ้าไม่รู้สึกเขาก็จะไม่ทำนะ” ผมก็เลยส่งเพลงนี้ไปให้เขาและบอกกับเขาว่า “ไม่ต้องรู้สึกกดดันเลยนะ ไม่ต้องกดดัน แค่ว่าคุณรู้สึกยังไงกับมันเท่านั้น ?” แล้วเขาก็ตอบว่า “ว้าว” จากนั้นเขาก็เขียนเพิ่มเติมบางส่วนลงไปในเพลง และเราก็ส่งมันกลับไปกลับมา ผมรู้สึกว่ามันเป็นการร่วมงานกันกับเพื่อนที่รู้สึกปลอดภัยและเป็นธรรมชาติอย่างน่าเหลือเชื่อ  มันไม่ได้รู้สึกเหมือนกับทำงานกับแขกรับเชิญหรืออะไรแบบนั้น มันเหมือนกับเรากำลังทำงานกับบางสิ่งบางอย่างและเห็นได้ชัดว่าเขามีพรสวรรค์เป็นบ้าเลย ผมคิดว่าพวกเขาทั้งสองใส่อารมณ์ที่เป็นธรรมชาติเข้าไปมากในเพลงนี้ มันเหมือนฟองสบู่ที่ลอยอยู่บนพื้นผิว มันทำให้คุณเชื่อว่าพวกเขากำลังมีบทสนทนาที่เข้มข้นกันอยู่

กับคนอื่นผมต้องเก็บเป็นความลับ แต่กับจัสตินผมไม่ เพราะเขากำลังจะร้องเพลงนี้ ผมจึงส่งเวอร์ชันที่มีเสียงร้องของเทย์เลอร์และบอกเขาว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ เขาก็แบบว่า “ โอ้โห! !สุดยอดดด” เขาเคยมีส่วนร่วมในการทำงานร่วมหลายชิ้นที่เขาไม่สนใจในมุมมองแบบนั้น แต่สำหรับงานนี้เขารู้สึกกับมันมากเพราะเขาชอบเพลงนี้และเขาคิดว่าเขาสามารถทำอะไรเพิ่มเติมให้กับมัน

my tears ricochet

ผมคิดว่านี่เป็นเพลงโปรดที่สุดของผมในอัลบั้มนี้เลย ผมคิดว่ามันแต่งออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำของเทย์เลอร์ วิธีการร้องของเธอและวิธีที่เธอแสดงความรู้สึกออกมา สำหรับผมมันเป็นผลงานที่เยี่ยมยอดจริง ๆ  มันฝังอยู่ในสมองผมเลย มันมีความสำคัญกับเทย์เลอร์และแจ็ก (แอนโทนอฟฟ์) มาก มันเหมือนกับเป็นดวงประทีปอันสว่างไสวของอัลบั้มนี้เลย

mirrorball

‘mirrorball’ สำหรับผมมันเป็นเหมือนสายหมอกอันสวยงาม มันทำให้ผมคิดไปถึงวงในยุค 90s อย่าง Cardigans หรือ Mazzy Star มันมีทั้งความเป็นแสงสว่างไสวและหมอกควันจาง ๆ มันให้ความรู้สึกที่ดีมากในการวางเพลงนี้ก่อน ‘seven’ ที่เต็มไปด้วยอารมณ์โหยหาและคิดถึง และในเนื้อเพลงมันก็มีภาพที่ชัดมาก [เช่น “Spinning in my highest heels”]

seven

นี่เป็นเพลงที่สองที่เราแต่ง มันเป็นการมองย้อนกลับไปในวัยเด็กและสัมผัสถึงความรู้สึก ความทรงจำในช่วงเวลาเหล่านั้น มันเป็นเพลงโฟล์กที่งดงามมาก และมีท่อนร้องที่สำคัญอยู่ท่อนหนึ่งที่ร้องว่า “And just like a folk song, our love will be passed on.” ( “และมันก็เป็นเช่นเพลงโฟล์กเพลงหนึ่ง ความรักของเราจะถูกส่งต่อไป”) นั่นคือสิ่งที่อัลบั้มนี้กำลังทำอยู่ มันกำลังถูกส่งผ่านไปให้กับทุกคน มันเป็นความรักที่ถูกจดจำ วัยเยาว์และความทรงจำ

august

นี่อาจเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับเพลงพอปมากที่สุดแล้ว มันดังขึ้น มันมีหมอกควันในฤดูร้อนที่ส่องแสงมา มันเหมือนกับการก้าวออกมาจากเพลง “seven” ที่คุณมีภาพของเทย์เลอร์ในวัยเจ็ดขวบกำลังแกว่งไกวไปบนชิงช้าแล้วใน “august” ผมคิดว่ามันรู้สึกเหมือนการ fast-forward มาสู่ขณะนี้อย่างรวดเร็ว นั่นคือความแตกต่างที่น่าสนใจ ผมคิดว่ามันเป็นความรู้สึกที่สดชื่นทีเดียว

this is me trying

สำหรับเพลง “this is me trying” ผมว่ามันคือเพลงที่เกี่ยวข้องความเป็นอัลบั้มนี้ทั้งหมด บางทีผมอาจมองมันจากมุมมองของตัวเองมากเกินไป แต่ผมคิดว่าทั้งอัลบั้มเป็นเหมือนกับการออกกำลังกายและทำงานผ่านเรื่องราวเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องเก่า ๆ ผ่านมุมมองของคนอื่น มันเชื่อมโยงกันกับหลายสิ่งหลายอย่าง ผมชอบความรู้สึกที่เกิดขึ้นและการสร้างสรรค์ของแจ็กที่ทำให้เกิดบทเพลงที่ให้อารมณ์สบาย ๆ ที่ดูยิ่งใหญ่ในเวลาเดียวกัน

illicit affairs

เพลงนี้ให้ความรู้สึกของเพลงโฟล์กจริง ๆ ในอัลบั้มนี้ เป็นเพลงโฟล์กที่บรรยายเรื่องราวอย่างชาญฉลาด มันแสดงให้เห็นถึงความเก่งกาจและพลังของเธอในฐานะนักแต่งเพลง ความคมชัดของงานเขียนของเธอ มันเป็นเพลงที่ยอดเยี่ยมมากครับ

invisible string

นี่เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ผมได้เล่นดนตรีเอาไว้เป็นเวลาร่วมสองเดือนและมีเสียงฮัมเพลงของเธอ รู้สึกเหมือนเป็นหนึ่งในเพลงที่ดึงคุณเข้ามา เพียงแค่เล่นกับกีต้าร์ตัวเดียว มันก็มีการเคลื่อนไหวทางอารมณ์ในตัวมันเองซึ่งเป็นรูปแบบการเกากีตาร์ในแบบที่ผมคิดอยากจะทำ มีการเล่นบน rubber bridge ที่เพื่อนผมเอามาสวมไว้ที่กีต้าร์ และมันทำให้สายต่าง ๆ มีเสียงที่ฟังดูเก่า ซึ่งเป็นแก่นแท้ของสำเนียงเสียงแบบเพลงโฟล์ก

นอกจากนี้ยังมีความเป็นเพลงพอปผสมอยู่ด้วยจากจังหวะที่ใส่เข้ามา เทย์เลอร์รู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นเพราะเธอพูดว่าคุณรู้ฉันรักสิ่งนี้และฉันได้ยินอะไรบางอย่างในนั้นแล้ว” จากนั้นเธอก็บอกกับผมว่า สิ่งนี้จะเปลี่ยนเรื่องราวได้” หมายถึงเรื่องราวความสัมพันธ์อันงดงามในจุดเริ่มต้นของมันนั่นเอง

mad woman

นี่อาจเป็นเพลงที่ดาร์กที่สุดใน folklore  มันมีความมืดหม่นที่ผมคิดว่าเป็นการปลดปล่อย เรื่องของการล่าแม่มดและบางทีอาจสื่อถึงการบูลลี่กัน บางครั้งคุณก็กลายเป็นคนที่ผู้คนพยายามที่จะตรึงคุณไว้ในมุมที่ไม่ยุติธรรมนัก นี่เป็นการตีความในแบบของผมนะ ผมว่ามันเป็นเพลงสำคัญเพลงหนึ่งในอัลบั้มนี้เลย มันมีโทนเสียงที่คมชัดมาก ๆ และมันก็เป็นเพลงโฟล์กที่ผสมอารมณ์แบบกอธิกไว้ด้วย

epiphany

สำหรับ“ epiphany” เธอมีไอเดียเกี่ยวกับเสียงวิ้ง ๆ (เสียงที่เป็นแบ็กกราวด์อารมณ์แบบดนตรี ambient) ที่สวยงามหรือเพลงที่ให้อารมณ์ภาพยนตร์แบบที่ฉายในจอไวด์สกรีนในโรงภาพยนตร์ ซึ่งมันไม่ได้เน้นอะไรมากนัก แต่เป็นเหมือนท้องทะเลที่เงียบสงบที่เหมาะแก่การลงไปแช่ตัวในนั้น ผมทำเสียงวิ้งที่ใช้ในตอนเริ่มเพลงและกระจายอยู่ทั่วทั้งเพลงตลอดเวลา มีการเล่นเติมเครื่องดนตรีต่าง ๆ ลงไปมากมายแล้วทำให้ช้าลงและเล่นกลับด้าน มันได้สร้างฮาร์โมนี่อันใหญ่ให้กับบทเพลง ใหญ่ขนาดที่จัดการกับมันได้ค่อนข้างยาก แต่มันก็สวยงามมาก สวยพอที่จะหลงเข้าไปในนั้น จากนั้นผมก็เล่นเปียโนเติมเข้าไปและมันให้อารมณ์เกือบจะเหมือนกับเพลงคลาสสิกหรืออะไรทำนองนั้นจากการเล่นคอร์ดแบบ suspended

ผมคิดว่าเธอเพิ่งได้ยินมันและในทันใดเพลงนี้ก็มาหาเธอซึ่งเป็นเพลงที่สำคัญมาก มันเป็นเรื่องราวของปู่ของเธอซึ่งเคยเป็นทหารและบางส่วนก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพยาบาลในยุคปัจจุบัน ผมไม่รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่เธอคิดรึเปล่า แต่สำหรับผมมันเหมือนกับการสื่อถึง พยาบาล, แพทย์, หรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์, ที่โรงเรียนแพทย์ไม่ได้เตรียมคุณให้พร้อมสำหรับการเห็นใครบางคนจากไป หรือแค่รับมือกับเรื่องอารมณ์ที่ยากลำบากที่คุณจะพบได้ในงานของคุณ ในอดีตวีรบุรุษคือทหารเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกเขาได้รวมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ด้วย สำหรับผมนี่เป็นสิ่งที่ซ่อนไว้ในเพลงนี้ มีบางสิ่งที่คุณเห็นว่ายากที่จะพูดถึง คุณไม่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับมัน คุณเป็นได้เพียงพยานให้กับพวกเขา แต่มีบางสิ่งที่ชวนผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อในเพลงนี้ สำหรับผมมันเป็นความรู้สึกแบบที่ได้จากเพลงแบบไอซ์แลนดิก (เช่นในเพลงของ Sigur Ros) หรือเพลงคลาสสิก ไบรซ์ทำไลน์ออเคสตราได้งดงามน่าประทับใจมาก ๆ เลย

betty

นี่เป็นอีกบทเพลงที่เทย์เลอร์ กับ วิลเลียม โบเวรี เขียนร่วมกัน และจากนั้นแจ็กกับผมก็ทำรับช่วงต่อ เราทุกคนส่งมันหากันไปมา นี่คือเพลงที่เทย์เลอร์ต้องการ reference เธอต้องการให้มีอารมณ์เพลงงานของ บ็อบ ดีแลน ในช่วงแรกตอนที่ออกอัลบั้ม Freewheelin’ Bob Dylan (อัลบั้มชุดที่สองในปี 1963 ของบ็อบ ดีแลน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพลงในสไตล์โฟล์กอะคูสติกที่มีการเล่นฮาร์โมนิกาด้วย และมีเนื้อหาที่ลุ่มลึกขนาดที่ทุกวันนี้คนก็ยังถกเถียงกันอยู่) เราผลักมันไปทางอัลบั้ม John Wesley Harding (อัลบั้มชุดที่แปดของบ็อบ ดีแลน) อีกนิดเพราะมันมีกลอง มันเป็นเพลงโฟล์กที่ยิ่งใหญ่ที่เล่าเรื่องยาวและเชื่อมโยงกลับไปที่เพลง “cardigan” มันเหมือนการลากเส้นต่อจุดเชื่อมโยงจุดต่าง ๆ เข้าด้วยกันและผมคิดว่ามันเป็นเพลงโฟล์กที่เขียนขึ้นได้อย่างสวยงาม

peace

ผมเขียนเพลงนี้ขึ้นมาและจัสตินก็เตรียมท่วงทำนองให้กับมัน เราแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตลอดเวลาและเขาสร้างโฟลเดอร์ที่มีท่วงทำนองในนั้น และผมก็เขียนไลน์เบสใส่เข้าไป ในส่วนอื่น ๆ ของการแต่งเพลงนี้ ผมทำกับท่วงทำนองของจัสติน เทย์เลอร์พอได้ยินร่างนี้ เธอก็เขียนเนื้อหาของมันขึ้นมา มันทำให้ผมนึกถึงโจนี มิตเชล ที่ไปในทางเพลงรักที่ทรงพลังและสะเทือนอารมณ์ นอกจากนี้ยังมีท่อนบริดจ์ที่มีความเป็นอิมเพรสชันนิสม์และอารมณ์แบบเพลงแจ๊สและเธอก็ผสานมันเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ นี่คือหนึ่งในเพลงโปรดของผมแน่นอน ความจริงก็คือดนตรีของมัน วิธีการเล่นกับไลน์เบส ความผสมกลมกลืน ทั้งหมดนั้นสิ่งละอันพันละน้อยที่มาจากผมล้วนได้รับแรงบันดาลใจจากจัสติน อาจมีการเชื่อมโยงกันอยู่ในนั้น แต่เราไม่ได้พูดถึงมันมากนักหรอก [หัวเราะ]

hoax

นี่เป็นการปิดท้ายอย่างยิ่งใหญ่ ผมจำได้ว่าเธอพูดกับผมว่า “อย่าพยายามสร้างพื้นที่อื่นให้กับมัน นอกเหนือจากสิ่งที่รู้สึกเป็นธรรมชาติสำหรับคุณ” หากคุณทิ้งผมไว้ในห้องที่มีเปียโน ผมก็คงเล่นอะไรแบบนี้ ผมรู้สึกสบายใจมากกับสิ่งนี้ ผมคิดว่าผมจินตนาการว่าเธอจะเล่นและร้องเพลงนี้อย่างไร หลังจากเขียนเพลงทั้งหมดในอัลบั้มนี้ ผมรู้สึกว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่สัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่เข้มข้นและดิบที่สุด มันเป็นหนึ่งในเพลงโปรดของผม มันเป็นเพลงเศร้า แต่มันเป็นความเศร้าที่มีความหวัง เป็นการยอมรับว่าคุณต้องรับภาระจากคู่ของคุณ คนที่คุณรัก และความขึ้น ๆ ลง ๆ ของพวกเขา นั่นคือ “peace” และ “hoax” สำหรับผม นั่นเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกที่ผมมีต่อเพลงเหล่านั้นเพราะผมคิดว่านั่นเป็นชีวิต เป็นความเข้าใจในสภาวะที่แท้ของความเป็นมนุษย์

the lakes (Bonus Track)

เพลงนี้เป็นเพลงที่แจ็คแต่ง มันเหมือนกับเป็นสวนอันสวยงาม เหมือนกับคุณกำลังหลงไปในสวนสวย ๆ เป็นเหมือนกับบทกวีกรีก บทกวีอันโศกเศร้า ผมคิดว่ามันเป็นอย่างนั้นนะ

Source

Vulture

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส