ในช่วงเวลานี้ที่หนังเรื่อง TENET ของคริสโตเฟอร์ โนแลน ที่มีกิมมิคว่าด้วยเรื่องของกลไกการทำงานของเวลา การเดินไปข้างหน้าและการย้อนกลับหลังของเวลากำลังเข้าฉายอยู่ ทำให้เรานึกไปถึงว่านอกจากหนังที่ว่าด้วยเรื่องของการย้อนกลับของเวลาแล้ว ยังมีเพลงจำนวนหนึ่งเหมือนกันที่ศิลปินตั้งใจแต่งมาเพื่อให้ฟังกันแบบย้อนหลัง !! เป็นการเพื่อซ่อนสารลับบางอย่างเอาไว้ซึ่งจะรู้ได้เมื่อเล่นย้อนหลังเท่านั้น บ้างก็ว่าเหตุผลที่ทำแบบนั้นเพื่อที่จะซ่อนสารลับถึงซาตาน  บ้างก็เป็นไอเดียลูกเล่นของเพลงที่ส่งเสริมแนวคิดหลักของเพลงนั้น ๆ ให้มันดูเก๋ยิ่งขึ้นไปอีก การได้กลับมาฟังเพลงพวกนี้ในช่วงเวลานี้ช่างเป็นอะไรที่ได้อรรถรสแบบ TENET จริง ๆ !!

วันนี้ Beartai : What The Fact มี 9 บทเพลงที่เมื่อเล่นย้อนหลังแล้วจะพบข้อความ (ลับ) ชวนขนลุกซ่อนอยู่ จะเป็นเพลงอะไรและมีข้อความแบบไหนซ่อนอยู่บ้างนั้นขอเชิญไป ‘บรื๋ออออส์’ ด้วยตัวเองเลยครับ

“Stairway to Heaven” – Led Zeppelin

‘Stairway to Heaven’ นี่เป็นเคสคลาสสิกสำหรับการเล่นย้อนหลังเลย เชื่อกันว่าบทเพลงนี้หากเล่นย้อนหลังแล้วเนื้อหาของเพลงนั้นจะกลายเป็นบทบูชาซาตาน !! ผู้ที่ตั้งข้อสังเกตและก่อให้เกิดเป็นกระแสคนแรกก็คือ ไมเคิล มิลส์ รัฐมนตรีจากเมืองมิชิแกน ที่ออกมาพูดในปี 1981 ว่าเพลง ‘Stariway to Heaven’ เนี่ย หากลองเล่นถอยหลังดูแล้วจะขนพองสยองเกล้าเลยล่ะ มิลส์อ้างว่าในเพลงนี้มีถ้อยคำสื่อถึงซาตานอยู่มากมายอาทิเช่น ‘master Satan’ , ‘serve me’ และ ‘there’s no escaping it.’ โดยเหตุผลที่มิลส์ออกมาพูดเรื่องนี้ก็เพราะกลัวว่าผู้ฟังจะรับเอาข้อความชั่วร้ายเหล่านี้เข้าไปในจิตใจโดยไม่รู้ตัว ยิ่งไปกว่านั้น ในปีต่อมาพอล เคราช์ นักเผยแพร่ศาสนาคริสต์ชื่อดังก็ได้ออกมากล่าวในทำนองเดียวกันกับมิลส์ จะต่างกันก็ตรงถ้อยคำที่ได้ยิน ซึ่งของเคราช์จะมีประโยคต่อไปนี้  “Here’s to my sweet Satan/The one whose little path would make me sad, whose power is Satan/He will give those with him 666/There was a little toolshed where he made us suffer, sad Satan.”

ส่วนหนึ่งที่คนรู้สึกว่าเพลงนี้มีแนวโน้มที่จะซ่อนสารลับถึงซาตานก็คงด้วยข่าวลือที่ว่าจิมมี่ เพจ มือกีตาร์ของวงผู้แต่งเพลงนี้นั้นมีความสนใจในศาสตร์และลัทธิลึกลับของ อเลสเตอร์ โครวลีย์ นักไสยศาสตร์ลึกลับผู้ก่อตั้งศาสนาแห่ง Thelema ซึ่งมีเหล่าคนดังให้ความสนใจในลัทธิของ โครวลีย์ มากมายอาทิเช่น จอห์น เลนนอน เดวิด โบวี่ หรือว่า เจ-ซี เป็นต้น ส่วนโรเบิร์ต แพลนต์นักร้องนำที่แต่งเพลงนี้ร่วมกันก็เล่าอีกว่าเนื้อร้องของเพลงนี้ ‘มันไหลออกมาเอง’ โดยเขาไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะเขียนอะไรยิ่งฟังดูหลอนไปกันใหญ่เลย ว่าแล้วลองไปพิสูจน์ด้วยตัวเองเลยครับว่าหากฟังเพลงนี้ย้อนหลังแล้วจะหลอนแค่ไหน

“Revolution 9” – The Beatles

บทเพลงจาก ‘The White Album’ อัลบั้มสุดติสต์ของสี่เต่าทอง The Beatles ที่ออกมาในปี 1968 ซึ่งช่วงก่อนหน้านั้นสักสองปี ได้เริ่มมีกระแสข่าวลือที่มีชื่อว่า ‘Paul is Dead’ อันเป็นทฤษฎีสมคบคิดที่บอกว่า พอล แม็กคาร์ตนีย์ นั้นตายไปแล้วตั้งแต่ปี 1966 จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ส่วนพอลที่เราเห็น ๆ กันนั้นเป็นตัวปลอมที่ทางวงหามาเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา แค่นั้นยังไม่พอยังมีหลักฐานมายืนยันกันมากมายเช่น ปกอัลบั้ม “Yesterday and Today” ที่สมาชิกวงถ่ายรูปกับโลงศพ แต่คนอื่น ๆ  เค้าอยู่นอกโลงกันหมดมีพอลคนเดียวที่นั่งอยู่ในโลง อีกข้อยืนยันหนึ่งก็คือภาพปกอัลบั้ม “Abbey Road” ที่ทุกคนกำลังเดินข้ามทางม้าลายนั้นมีพอลคนเดียวที่ไม่ได้ใส่รองเท้า ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อที่ว่าคนตายนั้นจะไม่ใส่รองเท้า ! ทีนี้อีกข้อยืนยันหนึ่งก็อยู่ที่เพลง “Revolution 9” นี่ล่ะ เพราะว่าเพลงนี้มีท่อนเด็ดที่เมื่อเล่นถอยหลังท่อนที่ร้องว่า “numer nine … number nine …” จะกลายเป็น “turn me on dead man … turn me on dead man …” ไปเลย

แค่นี้ยังไม่พอยังมีท่อนอื่น ๆ ที่ชวนเหวออีก เช่น ในนาทีที่ 1:32 (จากเวลาในคลิปด้านล่างนี้) จะร้องว่า ‘Paul is dead’ นาทีที่ 2:03 ร้องว่า ‘A car crash’ ส่วนนาทีที่ 5:23 จะเป็น ‘Help Help, Get me Out, Get me Out’ ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อที่ว่าพอลเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์นั่นเอง จะชวนบรื๋อส์แค่ไหนไปฟังกัน

 “EMPTY SPACES” – PINK FLOYD

ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีผลงานของ Pink Floyd วงโพรเกรสซีฟร็อกสุดคลาสสิกระดับตำนานจากลอนดอนวงนี้ติดอยู่ในลิสต์เพลงที่เล่นย้อนหลังแล้วจะเจอข้อความชวนหลอนกับเค้าด้วย แต่เอาจริงๆ  เคสนี้ก็เหวอใช่เล่น เมื่อแทร็กแปดจากอัลบั้มสุดเอพิก ‘The Wall’ จากปี 1979 ได้มีข้อความลับที่เชื่อกันว่า โรเจอร์ วอเตอร์ นักร้องนำของวงต้องการส่งสารถึง ซิด บาร์เร็ตต์ อดีตนักร้องนำและผู้ก่อตั้งวง Pink Floyd ผู้สมรสกับโอสถหลอนจิต LSD จนจิตใจหลอนลอย

โดยในท่อนที่มีข้อความลับนั้นจะอยู่ตรงนาทีที่ 1.13 ของเพลง ซึ่งสามารถถอดความออกมาได้ว่า

-‘Hello, Looker. (หรือบางแหล่งก็ได้ยินว่า Luka ซึ่งแปลว่า ‘นักล่า’) Congratulations. You’ve just discovered the secret message. Please send your answer to Old Pink, care of the funny farm, Chalfont’.

-Roger! Carolyne’s on the phone!

-Okay.

บอกเลยว่าเพลงนี้นี่ฟังแล้วชัดมาก แบบไม่ได้อุปาทานหรือได้ยินไปเองเลยครับ รู้สึกเลยว่าโรเจอร์ วอเตอร์นี่ตั้งใจจะใส่สารลับเอาไว้จริง ๆ 

665″ – Soundgarden

บางคนบอกว่าเพลงนี้เมื่อเล่นถอยหลังแล้ว อาจจะกลายเป็นเพลงคริสมาสต์ที่ร็อกที่สุดตลอดกาล ! เนื่องจากมันมีท่อนที่ฟังเหมือนคริส คอร์เนลล์จะร้องว่า “I love you Santa, baby / Santa is my king” ซึ่งเชื่อกันว่าคริส และ Soundgarden ต้องการจะทำเพลงนี้เพื่อล้อเลียนเพลงอื่น ๆ ที่ตั้งใจซ่อนสารลับถึงซาตานไว้เมื่อเล่นย้อนหลังก็เลยทำเป็น Santa ซะเลย แถมถ้าดูจากชื่อเพลงก็เหมือนจะตั้งใจล้อความเชื่อเรื่องซาตานจริง ๆ  เพราะเลข ‘666’ นั้นเป็นเลขจากคัมภีร์วิวรณ์ที่ว่าด้วยเรื่องของวันสิ้นโลก โดยเลขนี้สื่อถึงสัตว์ร้ายหรือซาตานที่มีอำนาจชั่วร้าย ซึ่งถูกแปลงให้กลายเป็น ‘665’ เหมือนตั้งใจจะเอาฮาจริง ๆ  แต่ Joe Dirt ผู้ดูแลของวงที่มักเดินทางไปไหนต่อไหนกับวงอยู่เสมออ้างว่าจริง ๆ แล้วคริส คอร์เนลล์ตั้งใจจะให้มันออกมาเป็นคำว่า ‘Satan’ แต่ปัญหามันเกิดเพราะคนมิกซ์เสียงก็เลยออกมาเป็น Santa ซึ่งทำให้คอร์เนลล์หัวเสียมากเลย ไม่รู้เรื่องจริงจะเป็นยังไง แต่ทุกครั้งที่ฟังแล้วได้ยินว่า “I love you Santa, baby / Santa is my king” นี่มันก็เข้าท่าดีเหมือนกันนะ

 “ANNOUNCEMENT SERVICE PUBLIC” – LINKIN PARK

บทเพลงนี้ Linkin Park บันทึกไว้ตอนที่กำลังทำอัลบั้มชุดที่สาม Minutes To Midnight (2007) แต่ไม่ได้ใส่ไว้ในอัลบั้มนั้นแต่ถูกบรรจุไว้ในอัลบั้ม LP Underground 6 (2006) แทน บทเพลงนี้ก็เป็นอีกเพลงหนึ่งที่ตั้งใจจะทำมาให้ฟังแบบถอยหลังเหมือนกัน เพราะดูจากชื่อเพลง ‘ANNOUNCEMENT SERVICE PUBLIC’ ที่จริง ๆ ควรจะเป็น ‘PUBLIC SERVICE ANNOUNCEMENT’ ก็รู้แล้ว แถมหากฟังแบบปกติก็จะเจอเนื้อร้องที่ฟังดูเหมือนภาษาเยอรมันว่า ‘Sdnah ruoy hsaw dluohs uoy dna, hteet ruoy hsurb dluohs UoY’  แต่พอได้ฟังกลับหลังเท่านั้นก็ถึงบางอ้อ เพราะจริง ๆ  แล้วท่อนนี้ร้องว่า ‘You should brush your teeth, and you should wash your hands…’ และก็ร้องวนแบบนี้ไปทั้งเพลงเลย ถึงแม้จะรู้ว่าร้องอะไรแต่ก็ยังงงอยู่ดีว่า ทำไม Linkin Park ถึงต้องทำเพลงรณรงค์ให้แปรงฟันและล้างมือด้วย (ส่งเสริมสุขอนามัยสุด ๆ ถูกใจ สสส. และกระทรวงสาธารณสุขยิ่งนัก) ซึ่งจริง ๆ แล้ว Linkin Park ไม่ได้ตั้งใจทำเพลงถอยหลังเพื่อบูชาซาตานแต่อย่างใด หากแต่ต้องการทำเพื่อวิพากษ์ถึงการปลูกฝังและสั่งสอนในสังคมตั้งแต่ระบบเล็กย่อยไปจนระบบใหญ่ ที่บางครั้งมันซ่อนตัวอย่างแนบเนียนในชีวิตเราโดยไม่รู้ตัว

 “Intension” – Tool

ประสบการณ์การฟังเพลงนี้แบบถอยหลังนี่เหมือนกับการโดนสะกดจิตเลย สำหรับเพลง ‘Intension’ ผลงานจากอัลบั้มชุดที่ 4 ‘10,000 Days’ ของวงเมทัล ‘Tool’ ที่แอบซ่อนสารลับแบบหลอน ๆ เอาไว้อย่างแนบเนียน ซึ่งสามารถถอยความอย่างชัดเจนได้ว่า ‘Work hard / Stay in school / Listen to your mother / Your father is right” ซ้ำไปซ้ำมา เหมือนเป็นเพลงเด็กเอ๋ยเด็กดีเวอร์ชันสะกดจิตหลอน ให้ทำงานหนัก ตั้งใจเรียน เชื่อฟังพ่อและแม่ เป็นการปลูกฝังอุดมการณ์คนดีของสังคม ซึ่งจริง ๆ แล้วก็เป็นลูกเล่นที่สอดรับกับตัวเพลงแบบที่ฟังตามปกติซึ่งพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของจิตใจคนจากเมื่อแรกเกิดที่มาพร้อมความบริสุทธิ์แต่แล้วเมื่อกิเลสตัณหาและความปรารถนาได้เข้ามารุกรานจิตใจจึงค่อย ๆ ตกต่ำลงนั่นเอง “Pure as we begin / Here we have a stone / Throw to stay the stranger /Swore to crush his bones”

“Better By You Better Than Me” – Judas Priest

“Better By You Better Than Me” เวอร์ชัน cover ในปี 1978 จากงานเพลงต้นฉบับของวง  Spooky Tooth ในปี 1968 โดยวง Judas Priest สารลับที่ได้ยินเมื่อฟังย้อนหลังของเพลงนี้คือกรณีสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในปี 1990 เมื่อสองหนุ่มได้ตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเองหลังจากได้ยินคำว่า “Do it” ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งจากการฟังย้อนหลังของเพลงนี้จนเป็นคดีความว่าเพลงนี้มีข้อความซ่อนเร้นอันเป็นอันตรายจนขึ้นโรงขึ้นศาลกันแต่สุดท้ายทางวงก็พ้นจากข้อกล่าวหาในที่สุด

“Hot Poop” – Frank Zappa

‘Hot Poop’ คือเพลงสั้น ๆ ที่ฟังดูแล้วเหมือน ASMR ของศิลปินหัวขบถ Frank Zappa ที่ตัดออกมาจากเพลง ‘Mother People’ ผลงานจากอัลบั้มชุดที่ 3 ‘We’re Only in It for the Money’ ที่หน้าปกทำล้อเลียนอัลบั้ม Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band ของ The Beatles โดยท่อนที่ถูกตัดออกมาคือท่อนที่มีปัญหาจากเพลงต้นฉบับเพราะมีคำหยาบคายอยู่ ใน ‘Hot Poop’ ก็เลยจับมันมาเล่นเร็ว ๆ และทำเสียงร้องย้อนหลังเอาไว้ ซึ่งเมื่อลองเล่นแบบย้อนหลังดูก็จะได้ยินชัดเจนว่า “Better look around before you say you don’t care/Shut your fucking mouth ’bout the length of my hair/How would you survive/If you were alive/Shitty little person?” นั่นเอง !

ฟังต้นแบบปกติก่อน

และแบบย้อนหลัง

 “NICO AND THE NINERS” – TWENTY ONE PILOTS

ปิดท้ายกันด้วยเพลงนี้กับ NICO AND THE NINERS 1 ใน 2 ซิงเกิลแรกจากอัลบั้ม Trench อัลบั้มชุดที่ 5 จากคู่ดูโอ TWENTY ONE PILOTS กับงานเพลงที่เป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้มที่ว่าด้วยเรื่องของตัวละครนามว่า Clancy หรือตัว Tyler Joseph นักร้องนำที่ถูกกักบริเวณอยู่ในเมืองกำแพงสูงล้อมรอบที่มีชื่อว่า Dema ซึ่งถูกปกครองโดยนักบวชทั้ง 9 คน ที่พยายามล้างสมอง Clancy และชาวเมืองด้วยศาสนาลัทธิที่เรียกว่า Vialism โดยเนื้อหาและ MV ของเพลง NICO AND THE NINERS จะพูดถึงการรวมตัวกันของเหล่า banditos หรือสมาชิกในเมืองดีม่าที่ต้องการหาทางออกไปจากเมืองนี้และช่วยเหลือชาวเมืองให้ปลอดภัยไปด้วยกัน แต่ต้องเผชิญหน้ากับพวก NICO AND THE NINERS ก็คือเจ้าตัวละคร Nico และนักบวชทั้ง 9 (The Niners) ซึ่งความชั่วร้ายของเหล่านักบวชแห่ง Dema นี้เปรียบได้กับ โรคซึมเศร้า ความกดดัน และความเครียดในชีวิต บทเพลงนี้จึงเป็นเหมือนกับการให้กำลังใจกับคนที่พยายามจะต่อสู้และเอาชนะกับภัยร้ายที่ก่อกวนจิตใจพวกนี้ได้

สิ่งที่เจ๋งมาก ๆ เลยสำหรับเพลงนี้ก็คือเมื่อเล่นย้อนหลังแล้วเราจะพบกับข้อความลับที่สอดคล้องกับเรื่องราวของเพลงนี้ ราวกับว่าท่อน reverse ของเพลงจงใจให้เป็นเช่นนั้น เพราะต้องการซ่อนสารลับไว้ไม่ให้พวกนักบวชได้ยิน ซึ่งท่อนที่ได้ยินกันชัด ๆ ก็จะมีดังต่อไปนี้ นาทีที่ 0:34 We are banditos , 0:49 Fire,  0:51 Nico and The Niners,  1:16 Fire,  1:18 Nico and The Niners,  1:23 We don’t belong here,  1:30 Fire,  1:32 Nico and The Niners,  3:28 If we can run we can,  3:51 We are banditos,  3:55 You will leave Dema and head true east,  4:00 We denounce vialism

Source

dallasobserver

kerrang

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส