ดร.มนัสวิน นันทเสน หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของ ติ๊ก ชิโร่ คือศิลปินระดับตำนานของเมืองไทยที่อยู่คู่วงการดนตรีมานานเกือบ 40 ปี เนื่องในวันและวาระเดียวกับที่เขาเปิดตัวซิงเกิลใหม่ล่าสุด “Time Machine” ที่เขาให้คำนิยามคำว่า “ไทม์แมชชีน” ไว้ว่า เป็นเหมือนกับการย้อนความคิดไปยังอดีตที่แสนหวานและมีความสุขของเขากับภรรยาที่ร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาโดยตลอด

เราจึงขออนุญาตดึงตัวเขามาสัมภาษณ์สั้น ๆ เพื่อขอให้เขาขับไทม์แมชชีน เพื่อย้อนเวลาไปสำรวจตัวเขาในอดีต ว่ากว่าที่เขาจะมานั่งให้สัมภาษณ์ในวันนี้ เขาเคยผ่าน และเรียนรู้อะไรบ้างในวันวานที่ผ่านมา

สนใจอยากนั่งไทม์แมชชีนไปหาอดีตของติ๊ก ชิโร่กันไหมครับ?

พี่ติ๊กเองอยู่ในวงการมาตั้ง 35 ปีแล้ว พี่ติ๊กในอดีตเคยคิดไหมว่าตัวเองจะมาอยู่ถึงจุดนี้

ไม่เคยคิดว่าจะมาถึงจุดนี้เลยครับ เพราะว่าผมเองมีความรักในด้านศิลปะและดนตรี ทั้งสองอย่างเป็นสิ่งที่รักมาก ๆ เลย ในตอนเด็ก ๆ นั้น สมัยก่อนไม่เหมือนสมัยนี้นะครับ มีแค่เสื่อหนึ่งผืน หมอนหนึ่งใบ แล้วก็วิทยุทรานซิสเตอร์ ในใจก็คิดแต่ว่าอยากจะเป็นนักดนตรีที่ดีที่สุด อยากจะทำเพลงไปสู่ระดับโลก ตั้งใจมุ่งมั่นจริง ๆ แต่มันก็เป็นฝันกลางวันของเด็กคนหนึ่งซึ่งมันแทบจะเป็นไปไม่ได้

ผลสุดท้ายก็มีวันหนึ่ง ที่ทำให้ฝันเป็นจริงก็คือ ปี 2517 มีการแข่งขันประกวดดนตรีชิงแชมป์แห่งประเทศไทย แล้วเราชนะเลิศมา กลับกลายเป็นว่าเราได้เข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงทุกวันนี้

เทปบันทึกภาพการแข่งขันวงดนตรีชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทยปี 2527 ที่พี่ติ๊กเป็นมือกลอง

กลายเป็นว่าบางครั้ง การวางเป้าหมายไว้สูง จนเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะทำได้เลย กลับกลายเป็นสิ่งที่ดีงาม แล้วด้วยความที่เราเป็นคนไทยที่อยากสร้างผลงานในระดับอินเตอร์ มันก็ทำให้เรามีพลังขับที่ดีมาก และผลสุดท้ายก็กลายเป็นความสำเร็จในทุกวันนี้ จากวันที่เราไม่ได้คิดอะไร แต่มันก็กลายเป็นสิ่งที่เยี่ยมยอดที่สุดสำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่จะสามารถทำความฝันให้เป็นจริงได้

พี่ติ๊กในอดีต กว่าจะมาถึงจุดนี้ ต้องพบเจอกับอะไร หรือต้องแลกกับอะไรบ้าง

คนที่จะผ่านมาถึงจุดนี้ได้ จะต้องมีความวิริยะอุตสาหะ เป็นอันดับแรกก่อน มีความรัก ความชอบ มีสุดยอดแห่งความปรารถนาที่จะสร้างงาน ผมเคยเกือบต้องแลกผลงานเพลงกับเงินประมาณ 10 – 20 ล้านบาท แต่ผมไม่เอาเงิน ผมขอแลกด้วยงานศิลปะของดนตรี ทำไมถึงทำอย่างนั้น ไม่น่าฉลาดเลย (ยิ้ม)

แต่สุดท้าย การที่มาอยู่ในจุดนี้ได้ มันก็ต้องยอมแลกกับอะไรบางอย่าง อย่างที่ผมบอกว่า ความมุ่งมั่นนั้นสำคัญที่สุดเลยนะครับ ว่าเราจะมีพลังในการต้านทานสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบข้างเราได้ไหม แล้วด้วยอาชีพนักดนตรี ด้วยความที่มันอยู่ใกล้กับอบายมุข เต้นกินรำกิน แต่เดี๋ยวนี้พ่อแม่ต่างก็ผลักลูก ๆ ให้มายืนอยู่หน้าเวที กลายมาเป็นนักร้อง โลกตอนนี้มันเปลี่ยนไปมาก

แต่ว่าผมกล้าพูดได้เลยนะครับ ว่านักกีฬาที่ประสบความสำเร็จ กับนักดนตรีที่ประสบความสำเร็จนั้น มีบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกัน นั่นก็คือ “วินัย” ครับ

ความลำบากหรือความเสี่ยงของคนที่ทำอาชีพนักดนตรีในสมัยก่อนมีอะไรบ้าง

ด้วยความที่ผมเป็นศิลปิน ต้องทำงานกลางคืนตามผับตามบาร์ อย่างที่บอกว่ามันจะมีอบายมุขเยอะ แต่สิ่งที่ดึงผมเอาไว้ก็คือเรื่องของการศึกษา และความกตัญญูกตเวทิตา ผมจำได้ว่า เพื่อน ๆ ร่วมวงของผมถูกรีไทร์กันหมดเลย แล้วก็เลือกที่จะเล่นดนตรี ไม่เอาการเรียน แต่ตัวผมเองตอนแรกก็เลือกที่จะไม่เรียนเหมือนกัน แต่บังเอิญมีบางสิ่งบางอย่างดึงรั้งผมไว้ นั่นก็คือความรักของพ่อแม่

ผมจึงฉุกคิดได้ว่าการศึกษาสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นผมก็เลยฮึดสู้จนประสบความสำเร็จ กลายเป็นนักการศึกษา ผมสามารถเรียนจบทั้งปริญญาตรี ปริญญาโท 2 ใบ 2 มหาวิทยาลัย และได้ปริญญาเอกดุษฎีบัณฑิตอีก 1 สถาบัน สิ่งนี้แหละครับที่ทำให้ผมรู้ว่า ถ้าเราตั้งใจทำอะไรโดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค มันจะก้าวเดินไปได้เสมอ และความรัก ความห่วงใยของคุณพ่อคุณแม่นั้น มันเป็นสิ่งที่สดสวยงดงามมาก ๆ สามารถสร้างสิ่งที่มหัศจรรย์จนทำให้เราประสบความสำเร็จได้

พี่ติ๊กชอบตัวเองในอดีตบ้างมั้ย

ผมชอบอดีตของตัวเองนะครับ เพราะว่าอดีตมันเป็นการต่อสู้ที่มันไม่น่าเชื่อเลยว่า เมื่อเราย้อนเวลากลับไปแล้ว ทำไมเราถึงกล้าตัดสินใจอย่างนั้น ทำไมเราถึงกล้าที่จะทำบางสิ่งบางอย่างที่เป็นสิ่งพิเศษมาก ๆ เลย

ผมจำได้ว่า ตอนที่ได้เงินก้อนแรก ๆ มา ผมไม่ได้นึกถึงตัวเองเลยนะ สิ่งเดียวที่นึกถึงคือจะต้องมอบเงินส่วนนั้นให้ครอบครัวก่อน หรือตอนที่ซื้อบ้านครั้งแรก ถือว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับครอบครัวที่ไม่มีบ้านเป็นของตัวเองนะ เพราะว่าพ่อผมเป็นข้าราชการ สำหรับผม นี่เป็นสิ่งที่กล้าหาญและสวยงามมาก

เมื่อเช้านี้ ผมโทรไปหาแม่ คุณแม่ตอนนี้อายุ 90 แล้ว คุณแม่บอกว่า

“ก็เพราะว่าติ๊กนี่แหละ ที่ทำให้พ่อกับแม่เดินทางมาถึงตรงนี้อย่างมีความสุข”

ผมก็เลยจะโทรหาคุณพ่อคุณแม่ให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าโทรได้ทุกวันก็จะดีมาก ๆ เพราะความรักของคุณแม่นี่แหละที่เป็นพลังขับให้ผมได้อย่างน่าทึ่งมาก

พี่ติ๊กเป็นคนที่ขึ้นชื่อเรื่องของการทำอะไรเต็มที่มาตลอด ทำแทบทุกอย่าง พอจะเล่าได้ไหมว่าสมัยก่อนพี่ติ๊กเต็มที่ยังไงบ้าง

ผมมีทฤษฏีอยู่สองทฤษฏี นั่นก็คือ “ทฤษฏีพีระมิดโมเดล” พีระมิดก็คือ เวลาที่ผมทำงานกับคนอื่น ในการเริ่มตั้งต้นของเรา คนอื่นก็ต้องรับรู้ด้วย ในวันหนึ่ง เมื่อเราจะต้องส่งต่อไปให้เขาทำ เขาจะต้องรู้ว่า เราทำงานแบบไหน จากนั้นก็จะทำงานไปพร้อม ๆ กัน แก้ไขไปพร้อม ๆ กัน จนทั้งคู่มาถึงยอดปลายของพีระมิดพร้อมกัน ก็จะไม่มีการแก้ไขอะไรอีกแล้ว

สมมติว่าด้านหนึ่งเป็นภาพ อีกด้านหนึ่งเป็นเสียง ด้านเสียงก็ต้องทำให้เสร็จก่อน เสร็จแล้วค่อยมอบเสียงไปให้ด้านภาพ ถ้าด้านภาพดูแล้วไม่ใช่ ด้านภาพก็จะเดินขึ้นไปไม่ได้ ก็จะต้องลดระดับลงมา จะเป็นจุดเริ่มต้นหรือจุดกึ่งกลางอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าทำไปพร้อม ๆ กัน ทั้งสองฝ่ายได้รับรู้ว่า สิ่งนี้ใช่ สิ่งนี้ไม่ใช่นะ ก็เลื่อนขึ้นสเต็ปต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดยอดของพีระมิด

อีกอันก็คือทฤษฏี “คิด-ทำ-เปลี่ยน” ก็คือ ก่อนที่เราจะทำอะไร เราต้องมีการคิดก่อน ใช้สมองคิดก่อน แล้วก็ทำ ถ้าระหว่างที่ทำแล้ว เกิดตัน หรือไปต่อไม่ได้ ก็ให้เปลี่ยน เปลี่ยนความคิด อิริยาบถ มุมมอง ในขณะที่เราก็ยังทำงานที่เราคั่งค้างอยู่ไม่ไปไหน เพียงแต่ว่าเราต้องหามุมมองใหม่ ๆ เช่นถ้าเวลาเราทำเพลง แล้วไม่สามารถไปต่อได้ ไม่ว่าจะเพราะเหนื่อยเมื่อยล้า หรือสมองตัน เราก็จะเปลี่ยนชุดเป็นชุดนักกีฬา ไปเตะฟุตบอล ขี่จักรยาน

แต่ในระหว่างนั้นก็ต้องคิดว่าอะไรจะเสริมสร้างความคิดของเราได้ เช่น เช่น เตะฟุตบอล “ตึงตัง ตึงตัง ตึงตังตึงตังตึงตัง…” (ทำเสียงเตะฟุตบอลเป็นจังหวะ) เราก็เอาจังหวะนี้มาใส่เสียงกลอง คีย์บอร์ด หรือเบสก็ได้ เป็นการเปลี่ยนเพื่อที่จะเอาสิ่งใหม่ ๆ เหล่านั้นมาสร้างรูปแบบให้เราสามารถไปต่อได้ ซึ่งสองทฤษฏีนี้ถูกพิสูจน์มาแล้วว่านำเอาไปใช้ได้ในชีวิตจริง

แล้วตอนนี้พี่ติ๊กยังเต็มที่อยู่ไหม

ปัจจุบันนี้ผมเองก็ยังเต็มที่อยู่นะครับ แต่เนื่องด้วยสังคมเปลี่ยนไป วิธีการคิดเปลี่ยนไป โลกก็เปลี่ยนไป แน่นอนล่ะ วัยวุฒิกับคุณวุฒิมันมาคู่กัน ในระหว่างที่ร่างกายของเราล้าลงไปเรื่อย ๆ เพราะกำลังจะเดินทางเข้าสู่วัย 60 มันไม่เหมือนกับตอนที่เราอายุ 25 ร่างกายหรือเซลล์ต่าง ๆ แข็งแรงพอที่จะต่อกรได้กับทุก ๆ เรื่อง

แต่ว่าสมัยนี้มันก็อาจจะยากหน่อย ในเมื่อคนคนหนึ่งร่างกายไม่สามารถที่จะจัดการกับอุปสรรคได้เหมือนสมัยก่อน ก็ต้องใช้ประสบการณ์ เพราะประสบการณ์เรามีเยอะกว่า เหมือนไพ่ที่วางเต็มโต๊ะ จะดึงเอาตรงไหนมาใช้ก็ได้ ประสบการณ์ชีวิตมีส่วนมาก ๆ เลยในการที่จะทำให้เราก้าวต่อไปได้

แต่ยุคงนี้มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การแข่งขันต่าง ๆ มันต่างจากเมื่อก่อนมาก

เรื่องนี้เนี่ย โทษใครไม่ได้นะครับ มันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว Facebook มันกำเนิดขึ้นมาเพราะว่าเราอยากรู้ว่าเพื่อน ๆ ของเราอยู่ที่ไหน หรืออย่าง LINE คิดได้ยังไงว่าจะให้คนเราโทรกันได้แบบไม่เสียเงิน มันกลายเป็นว่าเป็นการ “คิดเพื่อฆ่าคนอื่น” คือเวลาที่มีอะไรเกิดขึ้นมา ก็จะทำให้คนอื่น ๆ ได้รับผลกระทบไปด้วย ถ้าจะเทียบกับการเป็นศิลปิน เมื่อก่อน การจะเป็นศิลปิน ต้องเซ็นสัญญา 5 ปี 6 ปี 7 ปี ถ่าย MV ครั้งละ 5 แสน แต่เดี๋ยวนี้มีงบ 5,000 ก็ทำได้ ตั้งกล้องถ่ายทุ่งนาเป็น Long Shot อย่างเดียว แต่คุณภาพ ความละเอียดลออ ความงดงาม อันนี้ก็ต้องเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ในตอนนี้พี่ติ๊กคิดว่าตัวเองตกยุคไปแล้วบ้างไหม

ผมเคยตกยุคมาแล้วครับ เคยตกยุคมาแล้ว ต้องพูดตรง ๆ เลยนะครับว่า ยุคหนึ่ง ดีเจไม่กล้าเปิดเพลงผม รายการวิทยุไม่กล้าสัมภาษณ์ เพราะไม่รู้ว่าสัมภาษณ์แล้วจะได้ประโยชน์อะไร เชื่อไหมครับว่า เพลง รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง (อัลบั้ม โบราณแมน (2548) เป็นตัวที่ทำให้ทุกคนหยุด และฟัง อยากจะสัมภาษณ์ อยากจะเปิดเพลง อยากจะพูดคุยว่า อะไรที่ทำให้ผมกลับมาได้อีกครั้งหนึ่ง

เพลงนี้ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ล่าสุด เมื่อ 17 ปีที่แล้ว ผมแต่งเพลง “รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง” โดยการฉีกทุกกฏเกณฑ์ของการแต่งเพลงในเมืองไทย หรือแม้แต่เมืองนอก ทำให้เด็ก ๆ รุ่นใหม่สามารถที่จะแต่งเพลงได้โดยที่ไม่มีข้อจำกัด หรือมีอะไรขวางกั้นความคิดได้อีกเลย

ที่ถามผมว่าผมตกยุคไหม หลายคนเคยคิดว่าผมเป็นศิลปินตกยุคที่ไม่อยากจะเสวนาด้วย ไม่อยากพูดคุยด้วย แต่ในวันนี้ ผมกลับมาอีกครั้ง

แล้วผมบอกกับตัวเองว่า ผมไม่เคยทอดทิ้งการทำเพลง ทำดนตรีจนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้ายของผม และในปัจจุบันนี้ก็เป็นจริง

นี่ผมยังมีเพลงที่ผมยังไม่ได้ทำ น่าจะอีกประมาณเป็นร้อยเพลง ผมก็จะทยอยปล่อยออกมาจนกว่าจะลมหายใจสุดท้ายของติ๊ก ชิโร่

แล้วตัวพี่ติ๊กเองมีความกลัวว่าตัวเองจะตกยุคบ้างไหม

มาถึงตรงนี้แล้ว ผมคิดว่า ผมไม่น่าจะมีอะไรต้องกังวลแล้วนะครับ เพราะว่าผมสามารถที่จะทำเพลง แต่งเพลงได้ทุก ๆ ช่วงเวลา มีเพลงในสต็อกหรือ Song Bank อยู่อีกเยอะพอสมควร สามารถที่จะทำเพลงไปได้เรื่อย ๆ และสามารถทำเพลงในระดับ International ได้อย่างไม่ขัดเขิน และพี่ ๆ น้อง ๆ ศิลปิน สามารถที่จะมาร่วมงานกับผมได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร

ในโลกที่มีแต่ความเครียด การแข่งขัน พี่ติ๊กคิดว่าอะไรคือ Time Machine ที่พาตัวพี่ติ๊กเองกลับไปสู่ความสุข ความงดงาม

ผมขอเป็นตัวแทนของครอบครัวนะครับ บางครอบครัวก็เป็นครอบครัวที่เพอร์เฟ็กต์ บางครอบครัวก็เป็นครอบครัวที่ไม่เพอร์เฟ็กต์ เป็นครอบครัวที่แตกร้าว แตกหัก และไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ผมน่าจะเป็นตัวแทนของครอบครัวครอบครัวหนึ่ง ซึ่งมาอยู่ถึงตรงนี้ ก็น่าจะพูดได้ว่า การคิดในมุมบวก การคิดในมุมมองที่ดีนั้น ก็อาจจะเป็นจุดที่สามารถช่วยได้ ช่วยกระตุ้นเตือนว่า การเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใด ๆ สามารถที่จะนำพาครอบครัวไปได้อย่างมีอนาคตและยั่งยืนได้

Time Machine ของผมก็คือ ครอบครัวหรือคู่รักที่เคยทะเลาะกัน คิดจะเลิกกัน ไม่ใส่ใจกัน ให้ย้อนกลับไปยังคืนวันที่สดสวยแสนงาม ก็จะรู้ได้ทันทีว่า มันเป็นสิ่งที่แสนวิเศษ ที่เราจะต้องยอมรับให้ได้ว่า ความงดงามนั้นมีอยู่ทั่ว ๆ ไปตลอดเวลา ในขณะที่เรายังต้องก้าวเดินต่อไป Time Machine คือการย้อนไปถึงวันดี ๆ วันที่สวยงามที่เราต่างได้เคยมีร่วมกัน

ถ้าสมมติว่า พี่ติ๊กมี Time Machine ขึ้นมาจริง ๆ พี่ติ๊กอยากใช้ไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปหาช่วงชีวิตไหนของตัวพี่ติ๊กเอง

เป็นคำถามที่วิเศษมากครับ ผมถือว่าเป็นช่วงเวลาที่พิเศษมาก ในช่วงเวลาที่ผมโศกเศร้าอาดูร ผมอยากกลับไปแก้ไขตรงนั้น ถ้าเป้นไปได้นะครับ ผมอยากจะกลับไปแก้ไขสิ่งที่ไม่สวยงาม ไม่ดีงาม เช่นผมเคยลำบาก น่าจะเรียกได้ว่าผมเคยซื้อข้าวกิน แต่ไม่มีเงินจ่าย และผมก็ผูกเขาเอาไว้เป็นเดือน ๆ พอได้เงินเดือนมาก็ไปจ่ายเป็นเดือน ๆ สิ้นเดือนก็ไปจ่ายเขาทีหนึ่ง แต่เจ้านี้เป็นเหมือนบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษมาก

ถ้าผมมีไทม์แมชชีน ผมจะย้อนเวลากลับไป และเอาเงินไปจ่ายเขา เพราะว่าเมื่อผมตื่นขึ้นมา ร้านของเขาก็หายไปแล้ว ผมยังไม่ได้ทำหน้าที่ของสุภาพบุรุษตัวจริงเลย

ทุกคนสามารถทำได้นะครับ ผมบอกเลยครับว่า ทุกคนสามารถสร้างไทม์แมชชีนได้โดยไม่ต้องมีไทม์แมชชีนจริง ๆ

เพียงแค่ย้อนเวลากลับไปยังช่วงเวลาดี ๆ บางคนอาจทะเลาะกับพ่อแม่ หรือต่อว่ากันอย่างไร้เหตุผล ถ้าเราย้อนไปดูว่า ตอนคลอด แม่คลอดมาแบบไหน พ่อลำบากทำงานอย่างไรบ้าง ต้องเอาทองไปจำนำ เอาเงินไปซื้อเสื้อผ้า ไปจ่ายค่าเทอมให้ลูก แต่ลูกอาจจะไม่ได้ทันได้รับรู้ความลำบากของพ่อแม่ ถ้าเราย้อนเวลากลับไป เราก็อาจจะไม่ทำร้ายความรู้สึกกันแบบนั้น

สำหรับครอบครัวของผม ผมอยากจะนั่งไทม์แมชชีนไปย้อนดูว่า ชีวิตของเราเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันผ่านมาอย่างไรบ้าง อยากจะให้ลูก ๆ ได้รับรู้ว่า ความสวยงามของความรัก การแฟ็กซ์หากันทุก ๆ ครั้งมันมีความหมายมาก ๆ การโทรศัพท์หากันแต่ละครั้ง มันมีความหมายเต็มเปี่ยมจริง ๆ เพียงแค่เราย้อนความคิดกลับไปนึกถึงวันดี ๆ เรื่องราวดี ๆ

สิ่งนี้มันสามารถเปลี่ยนโลกของเราได้นะครับ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส