ต่าย อรทัย คือ เด็กสาวชาวอุบลราชธานีที่จากบ้านนามาสู่เมืองกรุงเพื่อก้าวเดินตามความฝันและสร้างความเข้มแข็งมั่นคงเพื่อดูแลครอบครัวจนได้เป็นหนึ่งในศิลปินเพลงลูกทุ่งหญิงไทยที่หยัดยืนอยู่ในวงการมากว่า 20 ปีและได้รับฉายาว่า ‘ราชินีดอกหญ้า ‘ พบกับเรื่องราวของความสำเร็จ.. ที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เรื่องราวแห่งความมุมานะ บากบั่น พยายาม ฝ่าฟันโชคชะตาและอุปสรรค จนยืนหยัดในวงการเพลง มาได้กว่า 20 ปี อย่างไม่สูญเสียตัวตน สัมผัสความน่ารักและบทเรียนของศิลปินท่านนี้ ผ่านบทสนทนาที่เรียบง่ายและจริงใจ ได้ ณ บัดนี้ครับ

สิ่งนึงที่เราจะได้ยินมาคู่กับชื่อของต่ายมาโดยตลอดก็คือคำว่า ‘ราชินีดอกหญ้า’ ซึ่งมันเป็นชื่อที่น่าสนใจนะครับเป็นการผสมกันระหว่างคำว่า ราชินี กับ ดอกหญ้า ซึ่งตรงกันข้ามมากนะ ราชินีนี่ก็มีตำแหน่งอันสูงส่ง ดอกหญ้านี่ก็ติดดินมากเลย

คือจริง ๆ คำว่า ‘ราชินี’ ถ้าจะเปรียบมันก็อยู่สูงมาก ส่วน ’ดอกหญ้า’ นี่มันก็แบบ.. คือมันก็เป็นคำเปรียบเปรยเปรียบเทียบให้เห็นภาพที่ชัดเจน บางคนอาจจะมองว่าดอกหญ้ามันอยู่ต่ำด้อยค่าเพราะมันอยู่กับดินเฉย ๆ แต่ถ้าเราไปสังเกตชีวิตเค้าจริง ๆ แล้วเนี่ยดอกหญ้าเค้าไปเกิดที่ไหนก็ได้ และจุดที่เค้าเกิดครูสลา คุณวุฒิท่านได้แรงบันดาลใจมาจากดอกหญ้าที่ขึ้นตรงซอกปูนด้วยซ้ำ มันไม่ได้เกิดกับดินเลยนะคะ ไปเห็นปุ๊บ โห! มันก็ยังอุตส่าห์ขึ้นตรงซอกปูน ขึ้นยังไม่พอยังมีดอกอีก เค้าก็พยายามจะเติบโตในสิ่งที่เค้าเป็น ในมุมของต่ายเรารู้สึกว่ามันแข็งแกร่งแล้วก็ถ้ามองชีวิตตัวเองเราก็เป็นคนนึงที่มาจากต่างจังหวัดและเราก็ถูกหล่อหลอมให้แข็งแกร่งจากชีวิตความเป็นอยู่ความเป็นลูกชาวไร่ชาวนา การที่พ่อแม่ต้องตื่นไปทำนาหาเลี้ยงชีพเพื่อเลี้ยงดูลูกดูแลครอบครัว มันหล่อหลอมมาตั้งแต่พ่อแม่เราแล้ว เพราะฉะนั้นถึงแม้มันจะเป็นแค่คำว่า ‘ดอกหญ้า’ แต่มันมีคุณค่ามากเลย

ลูกสาวชาวอีสาน 8-9 ชวบเนี่ยคุณแม่ก็จะสอนให้เราล้างถ้วยล้างจานทำงานบ้านต่าง ๆ จะพาให้ลูกสาวทำเป็นแล้ว เราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเกินตัวลูกสาวบ้านอื่น ๆ ก็ถูกสอนแบบนี้เหมือนกัน เราก็ช่วยแม่ ช่วยนึ่งข้าว คุณพ่อคุณแม่ยังไม่กลับจากทุ่งนา เราเลิกเรียนแล้วอันไหนหยิบจับได้เราก็ทำ ก็มีบ้างค่ะวันไหนที่ติดเพื่อนไปเที่ยวบ้านเพื่อนแล้วแม่กลับมาเหนื่อย ๆ ไปไหนล่ะลูกเราข้าวก็ไม่นึ่งจานก็ยังกองอยู่ ก็มีถูกตี ก็มีซนตามประสาเด็ก ๆ

ลงไปดำนาเองก็มี

เสาร์อาทิตย์ค่ะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเสาร์อาทิตย์ แล้วก็ถ้าช่วงหน้านาจริง ๆ มาโรงเรียนก็จันทร์ถึงศุกร์ตอนเย็นก็ไปนา มันก็ไม่ได้ไกลมากค่ะจากบ้านก็ 4-5 กิโล ช่วงหน้านาช่วงเกี่ยวข้าวเราก็จะย้ายไปที่นากันทั้งครอบครัว ตอนเย็นมาพ่อแม่ยังไม่ขึ้นจากนาก็ไปช่วยก็ไปดำ ดำต้นกล้า ถอนต้นกล้า

ไม่กลัวงูหรืออะไรพวกนี้หรอครับ

กลัวค่ะแต่ก็อาจเป็นเพราะว่าเราเห็นบ่อยรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ก็เป็นเรื่องปกติค่ะ ถ้ามีการไถดำปักกล้าอะไรแบบนี้ งูหรือสัตว์มีพิษพวกนี้เค้าก็ระวังตัวเองเหมือนกัน ถ้าจะมีก็มีพวกไส้เดือนอะไรมากกว่า เราก็จับเล่นเอาไปใส่เบ็ด ใส่มองเล่นซะมากกว่า

มีเหตุการณ์พิเศษอะไรมั้ยครับที่เปลี่ยนให้เรามาเป็นต่ายอย่างทุกวันนี้

ตอนเด็ก ๆ ไม่เคยคิดเลยค่ะ ชีวิตเด็กคนนึงที่พ่อแม่อยู่ด้วยกัน ปกติแล้วเราไปเรียนหนังสือเราก็ได้รับการปลูกฝังจากแม่ ลูกสาวคนอีสานแบบนั้นแบบนี้เราก็คิดว่าเราเหมือนคนอื่นเรามีพร้อมเหมือนคนอื่นเราสนุกสนานแบบคนอื่นเราไม่ได้ผิดแปลกจากคนอื่น แต่ช่วงเด็ก ๆ ก็ยังไม่ได้คิดว่าเสียงเพลงหรือความชอบด้านการร้องเพลงมันจะหล่อหลอมให้เราเป็นแบบนี้ก็ยังไม่ได้รู้สึก แต่แค่รู้สึกว่าพอพ่อกับแม่แยกทางกันตอน 11-12 ขวบค่ะ เรารู้สึกว่าภาระทุกอย่างมันทำให้เราเป็นพี่สาวคนโตที่ไม่ใช่เพียงแค่พี่สาวคนโต มันมีภาระที่แบบอยู่ดี ๆ  มันไปเลยโดยอัตโนมัติ

ตอนนั้นก็เท่ากับอยู่ป.5-6 เท่านั้นเอง

ใช่ค่ะ

เราอยุ่กับคุณพ่อหรือคุณแม่ครับตอนนั้น

อยู่กับคุณยายค่ะ ซึ่งตอนนั้นคุณยายก็ 70-80 แล้ว คุณแม่ก็ลงหางานทำที่กรุงเทพ ฯ คุณแม่ก็ส่งเสียตลอด คุณแม่คุณพ่อไม่ได้อยู่กับเราแต่ว่าทั้งสองท่านก็ยังทำหน้าที่อยู่ คุณพ่อก็อยู่อีกหมู่บ้านนึง

มองย้อนกลับไปรู้สึกมั้ยครับว่าชีวิตวัยเด็กวัยรุ่นของเราไม่สนุกเท่าของคนอื่นหรือว่านั่นคือเรื่องปกติอยู่แล้วของคนที่นั่นมันไม่ได้มีอะไรที่คือทุกคนก็ต้องเจออย่างรี้รึเปล่าครับ

ตอนพ่อตอนแม่ยังอยู่เราไม่ได้รู้สึกผิดแปลกแต่พอพ่อกับแม่ไม่อยู่เท่านั้นล่ะคะ คือมันเริ่มมีคำถามเราเริ่มมีความรู้สึกว่าเราไม่เหมือนเพื่อนคนอื่น เราก็เหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจสุดท้ายพอ 12-13-14 เนี่ยเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นคำถามเยอะมาก คำถามของตัวเองถามแล้วก็ตอบตัวเอง เหมือนจะเข้าใจมันก็คงเป็นอย่างงี้มั้งก็จะให้ทำไงได้ในเมื่อพ่อกับแม่ก็แยกกันไปแล้ว มันก็จะมีแบบโมเมนต์ที่ทำให้เราเหงา บางวันร้องไห้กับตัวเอง ล้างถ้วยอยู่ก็ร้องไห้ บางวันไม่ได้คิดอะไรก็ไม่ได้คิด ก็ร้องเพลงอย่างมีความสุข

ในมุมของต่ายเรารู้สึกว่ามันแข็งแกร่งแล้วก็ถ้ามองชีวิตตัวเองเราก็เป็นคนนึงที่มาจากต่างจังหวัดและเราก็ถูกหล่อหลอมให้แข็งแกร่งจากชีวิตความเป็นอยู่ความเป็นลูกชาวไร่ชาวนาการที่พ่อแม่ต้องตื่นไปทำนาหาเลี้ยงชีพเพื่อเลี้ยงดูลูกดูแลครอบครัว มันหล่อหลอมมาตั้งแต่พ่อแม่เราแล้ว เพราะฉะนั้นถึงแม้มันจะเป็นแค่คำว่า ‘ดอกหญ้า’ แต่มันมีคุณค่ามากเลย

The Beginning ณ วันที่เริ่มต้น

การเริ่มร้องเพลงหรือชอบร้องเพลงนี่เริ่มต้นตอนไหนครับ

ร้องจริงจังเลยก็น่าจะนี่ล่ะค่ะช่วงคาบเกี่ยวจากคุณพ่อคุณแม่แยกทางกัน เราก็จำในสถานีวิทยุสมัยก่อนโซเชียลมันไม่มีอยู่แล้ว และต่างจังหวัดมันก็วิทยุเนี่ยถ้าช่วงเพลงไหนมีกระแสใหม่ ๆ จะเป็นเพลงที่ถูกเปิดบ่อยมากในสถานีนั้นและนานมาก บางเพลงแบบอยู่ได้ 3-5 ปี คือมันนานมากจริง ๆ แล้วเราก็ฟังทุกวัน ทุกวัน ๆ ครูพักลักจำ จำร้องติดปากก็ร้อง

ไอดอลของเราคือใครครับตอนนั้น ร้องเพลงของใครเยอะที่สุด

ในสมัยนั้นหรอคะ เพลงพี่นาง ศิริพร อำไพพงษ์ เพลงพี่จินตหรา พูนลาภ เพลงแม่ฮันนี่ ศรีอีสาน อาจารย์เฉลิมพล มาลาคำ เป็นแนวลูกทุ่งหมอลำ

อันนั้นเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินสายประกวดเลยรึเปล่าครับ

ยังค่ะ ยัง อันนั้นเราฟังแล้วก็ร้องที่บ้านนี่ล่ะค่ะ คุณยาย น้องชายก็ฟัง ไม่รู้เพราะรึเปล่า ทุกคนเค้าก็ไม่ได้ว่า ทุกคนไม่ได้ห้ามก็แสดงว่าฟังได้มั้งก็คิดเอง แล้วก็บางวันกลับจากโรงเรียนเราก็ร้อง อยู่บ้านเราก็ร้อง ชาวบ้านก็ได้ยินทั้งหมู่บ้านเพราะร้องดังมาก เขาก็บอกว่าร้องเพลงเพราะอะไรอย่างนี้ เราก็ดีใจเนอะ ก็ร้องกิจกรรมในโรงเรียนมากกว่า วันเด็กอะไรอย่างนี้แล้วก็แบบมีชาวบ้านเห็นชีวิตเค้าก็บอกว่าเราเป็นลูกกำพร้า พอได้ยินเสียงชาวบ้านเราก็จุกอยู่ข้างในแต่ว่าเราก็คิดว่ามันเป็นความจริง

เค้าพูดด้วยความเป็นห่วงสงสารเรา แต่มันทำให้เรารู้สึกไม่ดี

ใช่ ๆ ค่ะแล้วเราก็รู้สึกว่าความสงสาร ความเอ็นดู ความเอื้ออาทรที่เค้ามอบให้เรา แล้วเราก็เอาเพลงที่เราจำได้นั่นล่ะค่ะก็ไปร้องกิจกรรมแสดงความสามารถร่วมกับเพื่อน ๆ เค้าก็ตามมาให้กำลังใจ เราก็ดีใจมาก แล้วก็เหมือนจะเป็นแรงบันดาลใจอะไรเล็ก ๆ เริ่มจากตรงนั้น ถ้าวันนึงเรามีเพลงหรือว่าเราสามารถที่จะมีเส้นทางเหมือนพี่ ๆ ศิลปินมันจะมีโอกาสมั้ยนะ มันแอบเริ่มรู้สึกแต่ว่าก็เราคงมโนจินตนาการไปเอง ความเป็นจริงมันห่างไกลมาก

แล้วได้รับการติดต่อมาเป็นศิลปินจริง ๆ เมื่อไหร่ยังไงครับ

ตอนจบม. 6 ก็ไปสอบตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จนสอบเข้าที่ม.ราชภัฏอุบลได้ แต่เราก็รู้สึกว่าเราไม่มีทุน เราไม่พร้อมสักอย่างเลย รู้สึกเสียดายโอกาสมากแต่ว่าก็คุยกับคุณแม่ว่าทำยังไงดี ลงมากรุงเทพฯก่อนมั้ยลูก ลองมาเรียนที่รามคำแหง เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย เสียใจด้วยที่แบบว่าเราสอบได้แล้วแล้วเราไมได้อยู่ที่บ้าน แต่ก็มันอาจจะเป็นโอกาสที่ดีเดี๋ยวค่อยว่ากัน ก็เลยลงมากับคุณแม่ แล้วก็มาอยู่ที่แคมป์คนงานของคุณแม่ก่อนซักเสื้อผ้าช่วยคุณแม่ตัวละ 5 บาท 10 บาท คนที่เค้าทำงานก่อสร้างแล้วเค้าไม่มีเวลามานั่งซักอ่ะค่ะ ก็อยู่กับคุณแม่ เราก็คิดว่าเราจะอยู่อย่างนี้หรอ เรียนจบม. 6 มาจะจบแค่นี้ใช่มั้ยชีวิต ถามตัวองตลอด บังเอิญว่าเขียนจดหมายหาเพื่อนและเพื่อนก็มาหาที่ตรงนั้น เพื่อนก็ชวนไปทำงานที่โรงงานก็ได้ทำงานกับเพื่อนอยู่พักนึง สุดท้ายแล้วเพลงมันอยู่ในสายเลือดเรา เสาร์-อาทิตย์แทนที่จะพักก็เฟ้นหาว่าแถวนี้มีที่ประกวดร้องเพลงรึเปล่า สุดท้ายก็ชวนเพื่อนไป เพื่อนก็สนับสนุนนะคะ ไปก็ไปสิ ก็พยายามหาข้อมูล ปรากฏว่าก็ไม่ได้ไกลจากที่เราพักมาก ฟาร์มจระเข้ สมุทรปราการ ก็นั่งรถสองแถวไป ก็หาข้อมูลก่อนแล้วก็ไปลองประกวด พอเสาร์-อาทิตย์เราก็ไป ไปจนเพื่อนบอกว่าไปเองละกัน (หัวเราะ) พอไปก็ไม่ได้ เสาร์-อาทิตย์ ไหนก็ไม่ได้

เราไม่ผ่านการคัดเลือกสักที

ใช่ค่ะ มันไม่ผ่านเลย แต่ว่าก็พยายามสู้จนเจ้าหน้าที่ก็เป็นคนทางบ้านเดียวกันคือสงสารด้วยและอาจจะเห็นแววอะไรบางอย่าง แต่เราอาจะยังไม่พร้อม ไม่ต้องจ่ายตังค์ค่าบัตรเข้ามาเลยลูก เอาบัตรสตาฟแขวนแล้วเข้ามาหลังเวทีเลยนะ มาร้องเปิดวงและก็ฝึกตัวเอง พอย้อนกลับไปเรารู้สึกขอบคุณมากสำหรับโอกาสที่ผู้หลักผู้ใหญ่ให้คำแนะนำเราทุก ๆ อาทิตย์ เราร้องและติดตรงไหนก็พยายามทำการบ้าน ก็จนในรอบเดือนก็ประกวดเข้ารอบเดือน ดีใจมาก จนรอบปีก็ได้ไปแข่งที่ชุมทางเสียงทอง อันนั้นคือไกลมาก

ชุมทางเสียงนี่เหมือนกับเข้ามาเป็นเวทีใหญ่

ใช่ค่ะ เป็นรายการทีวีการประกวดร้องเพลง เข้ามาถึงรอบปีได้ แข่งขันอยู่ 3 คนแต่ว่าสุดท้ายแล้วก็แพ้ แต่เป็นเวทีที่ประทับใจมากและก็ยังจดจำได้จนถึงทุกวันนี้ว่าเป็นโอกาสที่ทำให้เราอย่างน้อยก็มาถึงชุมทางเสียงทองนะและได้ค่ารถกลับบ้านก็ดีใจแล้ว จุดนั้นทำให้พี่บ่าวข้าวเหนียว พี่สาวบ้านเชียงเห็นเราออกทีวี ท่านเป็นนักจัดรายการที่ม.เกษตรค่ะ

ก็คือจัดรายการลูกทุ่งใช่มั้ยครับ แล้วก็ชวนเรามาออกเทป เป็นแบบไม่ได้มีสังกัดอะไร

ใช่ค่ะ ก็สังกัดกันเองค่ะ

รู้สึกยังไงครับที่ได้มีเพลงเป็นของตัวเองแล้ว

ค่ะ พอเพลงเสร็จแล้วพี่เค้าก็เอามาเปิดในรายการของพี่เค้าเอง พี่เค้าก็จะส่งแผ่นซีดีต่าง ๆ ไปให้เพื่อน ๆ นักจัดรายการทั่วประเทศเท่าที่จะช่วยเหลือกันได้ ต่ายก็อยู่กับพี่เค้าเหมือนเป็นครอบครัวญาติพี่น้อง ก็คือน่ารักมาก ไปช่วยพี่เค้าเป็นโอเปอเรเตอร์หลังไมค์ ‘สวัสดีค่า’ เค้าก็จะแบบ ‘ผู้ใดรับสายน้อ’ ‘ต่าย อรทัยค่ะ’ คือใช้ชื่อต่าย อรทัยเลย ‘มื่อนี่ฟังเพลงไหนคะ’ แล้วเราก็จด ก็มีศิลปินในค่ายแกรมมี่ ค่ายอื่น ๆ ก็มีเราก็จด หรือบางทีก็บอกว่าขอเพลงต่ายนั่นล่ะ คือดีใจ เราก็ทำอย่างนั้นอยู่นานมากเป็นปีสองปี เสร็จรายการก็ไปกับพี่เค้าไปส่งสินค้าในรายการที่แฟนเพลงสั่ง เราก็ไปแล้วไปทำความคุ้นเคยกับแฟนเพลงแฟนคลับของรายการ เราก็ดีใจที่เค้ารักเราเหมือนพี่น้องให้การต้อนรับทำกับข้าวต้อนรับเรา ได้สัมผัสอย่างนี้เลยเข้าใจว่าชีวิตการเป็นศิลปินมันต้องเป็นอย่างนี้หรอ ก็ค่อย ๆ เป็นคนนิ่ง ๆ เงียบ ๆ เราไม่รู้เราจะพูดคุยกับใคร พี่เค้าก็เริ่มฝึก ยิ้มนะ ทักทายนะ พูดคุยนั่นนี่ค่อย ๆ ซึม

แล้วไปเจอกับครูสลาได้ยังไงครับ

จากการโปรโมตเพลงกันเองนี่ล่ะค่ะ แล้วก็พี่บ่าวจะมีเพื่อนสนิทคนนึงเป็นนักจัดรายการที่จังหวัดอุบลราชธานีก็คือพี่ดีเจแหมบ ซึ่งดีเจแหมบรู้จักครูสลา คุณวุฒิอยู่แล้วเหมือนพี่แหมบจะนำเพลงไปให้คุณครูแนะนำน่าจะหลายครั้งแล้ว

ก็คือได้ฟังซิงเกิลที่เราส่งไปให้เปิดก็เลยเอาไปให้คุณครูฟังอีกทีนึง

ค่ะ จนพี่แหมบเค้าบอกว่าเด็กคนนี้เค้ามีชีวิตเป็บแนนนี้นะครู พี่แหมบก็จะเล่าชีวิตเราว่าเราอยู่กับคุณยายน้องชาย

แสดงว่าครูสลาไม่ได้สนใจแค่เสียงร้องของเขา แต่สนใจชีวิตของเราด้วยอย่างนั้นรึเปล่าครับ

คิดว่าค่ะ

ความเป็นนักสู้ ความเป็นผู้หญิงที่ต้องสู้คนเดียวมาโดยตลอด

คิดว่าน่าจะองค์ประกอบอะไรหลาย ๆ อย่างค่ะ

ผมว่ามีแหละ นี่เป็นการเจอกันของนักแต่งเพลงและนักร้องที่ผมว่า ถูกคู่มาก เพราะว่าครูสลานี่เขียนเพลงถ้อยคำก็จะสละสลวย เปรียบเทียบเรื่องราวเอามุมชีวิตของผู้คนต่าง ๆ มาทำเป็นเพลงได้อย่างดี ในขณะที่ต่ายเป็นคนที่ถ่ายทอดเพลงอารมณ์เศร้าได้ดีมาก อันนี้อาจจะเป็นความลงตัวที่ครูสลามองอยู่รึเปล่าครับ

ก็ส่วนนึงเท่าที่ได้มีโอกาสฟังบทสัมภาษณ์ของครู ก็จะมีคำถามว่าทำไมต่ายร้องแต่เพลงเศร้า ก็จำคำที่ครูสัมภาษณ์ได้ว่า โดยเนื้อเสียงธรรมชาติเป็นคนที่แบบเพลงก็ยังไม่ได้ใส่อารมณ์อะไรแค่วอร์มเสียงก็ฟังดูเศร้าแล้ว เวลาเข้าห้องอัดครูก็บอกว่าตีความหมายดี ๆ นะลูก เวลาเข้าห้องอัดก็สนุกสนานชิล ๆ ทำงานร่วมกับทีมเดิมมาตลอดอยู่แล้วก็จะเข้าใจฟีล มันอาจจะด้วยสิ่งที่เราเผชิญด้วยมั้งคะ เราเลยไม่รู้ว่าน้ำเสียงของเรามันเป็นมาตั้งแต่ตอนเด็ก เพราะว่าลึก ๆ อยู่ในความรู้สึกกลายเป็นมันฝังไปโดยธรรมชาติรึเปล่าก็ไม่แน่ใจค่ะ

แล้วก็ได้มาเป็นศิลปินฝึกหัดแกรมมี่เลยรึเปล่าครับ

คือจริง ๆ ต่ายเองก็ไม่รู้ว่ามันมีอะไรที่มันจะผ่านมาตรฐานหรือว่าตรงกับในสิ่งที่คุณครูอยากได้หรือว่าบริษัทอยากได้ ตัวเองก็ไม่ได้รู้เหตุผลตรงนั้นว่าครูเฟ้นหามาทั้งหมดกี่คนแล้ว และจะมาลงตัวที่เราหรือเปล่าก็ไม่ทราบ คือไม่รู้เรื่องอะไรเลยค่ะตอนนั้น ก็มาเทสต์ก็เทสต์ผ่านหรือไม่ผ่านก็รอฟังจากผู้ใหญ่ ก็ได้ทำก็ดีแล้วเข้ามาตึกแกรมมี่ ตึกซีมิคสูงใหญ่ ขึ้นลงขี้นลิฟต์ก็ขึ้นอะไรไม่เป็น รปภ.มีทุกชั้นเลย ออกมาแล้วก็โอ้ คือชีวิตเราตอนนั้นเป็นสิ่งใหม่หมดเลยแถบอโศกเนี่ยไกลจากชีวิตเรามากอยู่แล้ว มาครั้งแรกก็เป็นอะไรที่มันใหญ่มันยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของเด็กคนนึงมาก

The Effort ความพยายาม

บรรยากาศการฝึกหัดการเตรียมตัวที่จะเป็นศิลปินเป็นยังไงบ้างครับ

3 เดือนแรกสนุกมาก แต่หลังจาก 3 เดือนไปเพลงก็ยังไม่ได้อัด ยังมีข้อติ วันนี้ทำไม่ดี วันต่อไปก็ยังมีเรื่องกลับมาเหมือนเดิมอีก เรามีความรู้สึกตกลงเรายังไงกับชีวิตของเรา เราจะไปยังไงต่อ นี่คือเส้นทางที่มันจะทำให้เราดูแลยายกับน้องได้แล้วใช่มั้ย

ตอนนั้นมีรายได้มั้ยครับ

ไม่มีเลยค่ะ เราไม่สามารถดูแลคุณยายกับน้องชายได้

ไม่สนุกไปอีกนานมั้ยครับ

พอกลับถึงห้องเช่าบางวันนอนร้องไห้ ตื่นขึ้นมาก็ต้องไปเหมือนเดิม

ต้องเป็นอย่างนี้อีกนานแค่ไหนครับ กว่าที่จะได้รู้ว่าได้ออกเทปละ

มันไม่ได้มีคำตอบอะไรชัดเจนแต่มันจะค่อย ๆ มา คือผู้ใหญ่จะค่อย ๆ ดูพัฒนาการของเรา อ้ะเพลงใหม่ได้แล้วส่งมาให้ต่าย อ้ะลองไปเรียนกับอาจารย์จริงเลยแล้วก็พัฒนาตรงนั้นไปเลย พร้อมรึยังแล้วก็นัดห้องอัดแล้วก็ไปทดลองใส่เสียงจริง ค่อย ๆ ทำไปทีละเพลงอย่างนี้ค่ะ

แต่ก็ยังไม่ได้ปล่อยออกมาใช่มั้ยครับ

ยังค่ะ

และก็ไปคอมเมนต์กัน

ใช่ค่ะ แล้วก็บันทึกให้จบ เพลงที่สองมาก็ไปเรียนกับอาจารย์อีก แล้วก็นัดเข้าห้องอัด เป็นอย่างนี้

ประมาณนานแค่ไหนครับ

อยู่เป็นปีเลยค่ะ ปีกว่าด้วยซ้ำ

ใครคือเพื่อนครับตอนนั้นแบบไปเที่ยวกัน

ไม่มีเลยค่ะ ไม่มีจริง ๆ ค่ะ อยู่ห้องเช่าเราก็ต้องคิด คือโมเมนต์การไปเที่ยวคือไม่ต้องคิดเลย คือตื่นขึ้นมาแล้วก็มาเรียน

อะไรที่มันบอกเราว่าอย่าหยุดต้องไปต่อทั้งที่อาจจะดูแล้วไม่เห็นจุดหมายว่ามันจะได้ออกเมื่อไหร่

มันก็เหมือนจะไม่ไหว คือสุดท้ายมันก็มีอีกสิ่งนึงที่มาบอกเราก็คืออยากจะรู้มากเลยว่าถ้าเราสู้ไปอีกสักนิดนึงเนี่ยอะไรมันจะอยู่ข้างหน้า มันจะออกมาให้เราเห็นเป็นรูปธรรมเนี่ยมันคืออะไร มันยังอยู่ในใจในความรู้สึก เราอยากไปให้มันถึงว่ามันคืออะไร และอีกอันนึงคือคุณยายกับน้องชาย ทุกคนทางบ้าน เค้ารอเราอยู่

เค้ารอในที่นี้หมายความว่า เค้ารอเห็นความสำเร็จของเรา

ด้วยส่วนนึงค่ะ ต่ายเชื่อว่าทุกคนในครอบครัวจะเป็นห่วงเราอยู่แล้วก็อยากให้เราได้ดี ได้ดีแล้วก็คือเราได้ดูแลตัวเองได้ แข็งแรงได้ แล้วก็คงไม่อยากให้เรากลับมามือเปล่า คือทุกคนบอกไม่ได้หรอกค่ะว่ามันจะพ่วงมาด้วยความดังหรือร่ำรวย ทุกคนก็ไม่ได้กดดันเราเพียงแต่ว่าไปแล้วมันก็ต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้น เชื่อว่าลูกอีสานทุกคนหรือคนที่ออกจากบ้านเกิดตัวเองมาสู้ มันต้องมีอะไรบางอย่างในใจ มีเป้าอะไรบางอย่าง ไม่ต้องทะลุอะไรมากมายแต่มันต้องมีอะไรบางอย่างกลับไป

มันก็เหมือนจะไม่ไหว คือสุดท้ายมันก็มีอีกสิ่งนึงที่มาบอกเราก็คืออยากจะรู้มากเลยว่าถ้าเราสู้ไปอีกสักนิดนึงเนี่ยอะไรมันจะอยู่ข้างหน้า มันจะออกมาให้เราเห็นเป็นรูปธรรมเนี่ยมันคืออะไร

มีแว้บว่ากลับไปทำนาดีกว่าอะไรแบบนี้บ้างมั้ย

มีค่ะ มีบ่อยมากเลย แล้วทำได้มั้ยอ่ะ ก็ทำได้แต่ในเมื่อพ่อแม่ก็ส่งเราเรียนเชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนก็อยากจะให้ลูกได้ดีกว่าตัวเอง ไมได้หมายความว่าการทำนาไม่ดีนะคะ มันเป็นสิ่งที่ดีมันคอยหล่อเลี้ยงชีวิตเราแบบขัดเกลาเราหรือแบบปลูกฝังเรา เยอะแยะมากมายทำให้เราเป็นเราในวันนี้ มันสำคัญอยู่แล้วแต่มันก็ควรจะมีอะไรที่มันดีมากกว่า

ในที่สุดด้วยความมุ่งมั่นและอยู่ต่อ ปีกว่า ๆ ผ่านไปก็ได้ออกอัลบั้มเสียที ‘ดอกหญ้าในป่าปูน’ อัลบั้มแรกเลย วันแรกที่เห็นว่าเสร็จออกมาแล้วเป็นซีดีเป็นเทปรู้สึกยังไงบ้างครับ

ก็ดีใจค่ะ ไม่รู้จะบอกคำไหน แต่คำว่าดีใจของต่ายนี่คือ ‘เรามีวันนี้แล้วหรอ’ เป็นการคุยกับตัวเองเป็นการถามตัวเองว่าเรามีวันนี้แล้วหรอ คือบางทีเราซื้อแจก บางทีเคยสั่งเป็นลังเลยนะคะส่งไปให้ทางบ้าน คือดีใจมากบางส่วนก็คือเราอยากให้ทางบ้าน ก็สั่งมาด้วยตัวเองแล้วก็เซ้นส่งให้ทุกคน

ผมจำได้ว่า ‘โทรหาแหน่เด๊อ’ เนี่ยโด่งดังมาก แต่ผมจำไม่ได้ว่ามันใช้เวบานานมั้ยครับ

เป็นปีเหมือนกันค่ะ

ออกอัลบั้มนี้เป็นปีถึงเริ่มดัง

ใช่ค่ะ

Being an Artist ความเป็นศิลปิน…ในแบบ ‘ต่าย อรทัย’

อีกอย่างนึงที่น่าสนใจนะฮะ ถึงแม้ว่าบางท่านอาจจะไม่ใช่แฟนเพลงคุณต่ายแต่ว่าจะต้องเคยได้ยินชื่อเพลงฮิต ๆ ของคุณต่ายมาบ้าง สิ่งที่อยากรู้คือกระบวนการแต่งเพลงว่าทีมครูสลานี่คือเก่งมากในเรื่องการคิดคอนเซปต์เพลงหรืออะไรก็ตาม ผมจะยกตัวอย่างนะฮะเลือกเฉพาะที่ชื่อเพลงก็โดนแล้ว ‘น้ำตาหยดยังกดไลค์’ แค่ได้ยินชื่อเพลงก็นึกภาพออก แทบไม่ต้องฟังก็รู้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ถ้าได้ไปฟังยิ่งโดนเข้าไปใหญ่ หรือ ‘อ้ายลืมทุกคำน้องจำทุกนาที’ หรือ เพลงนี้นี่อย่างกับ Getsunova ‘คนมีคู่ที่อยู่คนเดียว’ หรือ ‘เจ็บก็ได้ถ้าอ้ายอยากจบ’ อันนี้ก็ชอบครับ ‘จากสำคัญเป็นสำรอง’ คือแบบคำมันเจ๋งมากฮะ พอจะเล่าให้ฟังได้มั้ยฮะกว่าจะออกมาแต่ละเพลงเค้ามาคุยกับต่ายก่อนมั้ยหรือเค้าหยิบเรื่องราวเหล่านี้มาจากไหน หรือเวลาเค้าได้เรื่องมาแล้วเค้ามาคุยกับต่ายยังไง ร้องได้บ่ คำนี้มันเข้าปากมั้ย กระบวนการเป็นยังไง

จริง ๆ กระบวนการเลยเนี่ย ต่ายเริ่มมาจากเด็กไม่รู้เรื่องอะไรเลย และเราเริ่มต้นจากการต้องมาเรียนทุกอย่าง และเรื่องของการแต่งเพลงต่ายจะไม่สามารถแตะด้านนี้ได้ ก็เป็นทีมครูบาอาจารย์เป็นคนแบบดูแลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการคิดคอนเซปต์ในแต่ละอัลบั้ม ก็เป็นเรื่องที่ครูสลากับทีมจะต้องมาประชุมกับผู้หลักผู้ใหญ่ แต่เราก็จะเห็นบรรยากาศว่ามีตอบโต้มีนั่นมีนี่ แต่เราก็จะได้ยินไกล ๆ ห่าง ๆ ว่าค่อนข้างซีเรียสกันกว่าจะได้ในแต่ละอัลบั้ม แต่ว่าในมุมของต่ายก็คือพอเราไม่ได้มีความสามารถด้านนี้ก็ฝึกฝนตัวเองให้แข็งแรง เราก็พยายามเก็บประสบการณ์ด้านหน้าเวทีต่าง ๆ มันมีผลที่ดีมากเรื่องของเวลาเราไปโชว์หน้าเวที มันทำให้การร้องของเราแบบคมขึ้น เข้าใจมากขึ้น ชุดที่สองคือจำได้แล้วรู้สึกแบบดีใจมาก คืออาจารย์ไพรัช ชูรัตน์และครูสลานี่ล่ะค่ะ เค้าบอกว่าเฮ้ยอัลบั้มชุดที่สองมาร้องเพลงเก่งขึ้นกว่าเดิมนี่ เราได้ยินเราก็เอ้อมันทำให้เรามีพลังอะไรบางอย่างว่าเราออกไปหาประสบการณ์จริงจากการที่เราเรียนเราก็เรียนจริง แต่การไปหาประสบการณ์จริงมันจะเป็นการย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ทำให้สิ่งนั้นมันคมขึ้นและแข็งแรงขึ้น คิดว่าทางครูก็เหนื่อยกันอยู่แล้วเราก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี

บางคนอาจมองว่าการเป็นนักร้องที่ไม่ได้แต่งเพลงเองเนี่ย เป็นศิลปินที่ไม่ได้ครบถ้วนแต่ในความเป็นจริงมันคือการรับผิดชอบหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด

ใช่ค่ะ

การไปหาประสบการณ์จริงมันจะเป็นการย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ทำให้สิ่งนั้นมันคมขึ้นและแข็งแรงขึ้น

การได้ทำงานกับครูสลา ครูสลาให้บทเรียนอะไรแก่เราบ้างครับ

ก็เยอะนะคะเยอะมาก คือจริง ๆ คลุกคลีกับทีมงานของครูทุกคนมีความเป็นครู เป็นพ่อ ที่ดูแลเราหล่อหลอมด้วยการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย เรียบง่ายแต่จริงจังให้เราเห็นในการทำงาน การทำงานไม่เคยง่ายเลย เพราะว่าต่ายเจอแต่ละเพลงตั้งแต่เป็นนักร้องครั้งแรกเลยที่เราไม่เก่งเพลงนึง 4-5 ชั่วโมงยังไงก็ยังเป็นอย่างงั้นจนถึงทุกวันนี้ ถ้าครูสลา ครูบอย ครูเต้ยมานั่งด้วยกันเมื่อไหร่ไม่มีอะไรง่าย วันนั้นไม่ได้กลับบ้านง่ายแน่นอนคือวันนั้นคือก็จะรอเข้าห้องอัดอย่างเดียว จะไม่มีไปเดินห้างนะ ไม่เลยค่ะ เป็นสิ่งหนึ่งที่ต่ายเองก็จะทุ่มให้ทั้งหมด เพราะว่าครูบาอาจารย์ก็จะทำงานกับแบบไม่มีวันหยุด ต่อให้ไม่ได้มีอัลบั้มหรือทำงานใกล้จะเสร็จแล้วก็ไม่เคยปล่อยเวลาให้ว่าง ว่าง ๆ ท่านก็จะมีวิธีพักผ่อนของท่านแต่สุดท้ายเวลามาเจอท่านก็จะคุยงานให้เราได้ยินตลอดเวลา กินข้าวกินอะไรเราก็รู้สึกท่านไม่หยุดทำงานจริง ๆ ทำงานตลอดเวลา เราเองก็ค่อย ๆ ซึมซับไปเรื่อย ๆ การทำงานของครูสบาย ๆ เราไม่เคยกดดันเลย จริงจังให้เราเห็นแต่ว่าก็สบาย ๆ

ผ่านมาสิบกว่าปีถึงแม้ว่าเราจะร้องเพลงเก่งขึ้น แต่ยังอัดเพลง 4-5 ชั่วโมงเท่าเดิมนี่เพราะว่าอะไร เพราะว่าครูเค้าให้โจทย์ที่ยากขึ้นรึเปล่าฮะ

ใข่ บางทีคือแบบ ‘โอ้ยอย่างนี้เลยหรอครู หน้าเวทีหนูจะร้องได้มั้ย’  ‘อ้าวก็ลองดูก่อนสิ’ มันจะเป็นแบบนี้ ก็ไม่เคยอิดออดนะคะ ท่านก็แบบว่าลองดูมันจะได้หรือไม่ได้ก็ลองดูก่อนสิ มันก็ทำให้เราได้เรียนรู้ตรงนี้ไม่ลองก็ไม่รู้ เราก็จะได้รู้

ในที่สุดมันก็จะทำให้เราเก่งขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ

ใช่ค่ะ

มีช่วงนึงต่ายเคยให้สัมภาษณ์ว่ามีช่วงที่รู้สึกหมดไฟ อันนี้มันคือช่วงไหนฮะ มันเกิดขึ้นได้ยังไงและผ่านชีวิตช่วงนั้นมาได้ยังไง

จริง ๆ คำว่าหมดไฟเนี่ยมันไม่ได้ว่าถอดปลั๊กแล้วหายไปเลย มันจะมีเป็นบางช่วงที่เรารู้สึกเหนื่อยจากเรื่องของการรับงานของเราเองนี่ล่ะค่ะ เราอาจจะรับงานแล้วไม่ได้วางแผนเรื่องการพักผ่อน พอมันเดิม ๆ ซ้ำ ๆ มาหลายปีเราอาจจะรู้สึกเหนื่อย รู้สึกซ้ำ ๆ จำเจ คือแบบว่าเราพักไม่พอช่วงที่รู้สึกล้ามาก ๆ ล้าจนแบบว่า ‘ไปงานอีกแล้วหรอ’ ทั้ง ๆ ที่ไปก็ได้ตังค์นะ

นี่คืองานที่เราใฝ่ฝัน

ใช่ค่ะ ก็วางแผนกับตัวเองไว้ไม่ใช่หรอว่าปีนึงจะรับงานเท่านี้ วางเป้าไว้แล้ว

ใช้วิธียังไงฮะ ก็เธอวางแผนไว้เองนี่เธอจะมาบ่นอะไรล่ะ

ใช่ค่ะ ก็มีเป้าอยู่แล้วไม่ใช่หรอว่าปีนี้จะทำอะไร

มันก็ไม่ได้แย่ขนาดที่จะออกจากวงการ

ไม่ค่ะ ไม่ได้ถึงขนาดไม่ทำแล้วเลิกแล้วกลับบ้าน แค่เหนื่อย

The Success สิ่งที่มาพร้อมความสำเร็จ

แต่ในขณะเดียวกันพอเรามาอยู่ในวงการแบบนี้แล้วอยู่ท่ามกลางแสงไฟแบบที่เค้าว่ากัน ชีวิตทุกมุมของเรามันย่อมจะต้องถูกจดจ้อง ถูกนำไปพูดถึงทั้งในด้านดีและด้านไม่ดี และส่วนที่ต่ายเคยเจอมาเนี่ยมีด้านที่ไม่จริงด้วย เอาไปเขียนเป็นข่าวเป็นเรื่องเป็นราวจนในที่สุดมันส่งผลกระทบ เป็นข่าวและในที่สุดก็ต้องมีการฟ้องร้อง ก็ต้องบอกว่าคดีจบไปแล้วพิสูจน์แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง เนี่ยชีวิตต่ายเป็นคนที่น่าจะชอบความเรียบง่ายไม่ได้ชอบเรื่องตื่นเต้นอะไรขนาดนี้ วันที่เจอเหตุการณ์แบบนั้นเรารู้สึกยังไงบ้างครับ

โห ไปไม่เป็นเหมือนกันค่ะ คือตอบคำนี้เลย คือไปไม่เป็น ต่ายเชื่อว่าชีวิตทุกคนเราไม่อยากเจออะไรอย่างนี้หรอก คือทุกชีวิตทุกครอบครัว เราอยากมีเส้นทางหรืออะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้นในชีวิตเรา เราอยากจะเจอแต่เรื่องที่ดี ๆ แต่มันก็บอกไม่ได้หรอกค่ะว่าเราจะไปเจอเรื่องที่ดีหรือไม่ดี มันไม่มีอะไรที่จะดีได้ทุกเรื่อง ก็กว่าจะผ่านตรงนั้นมาได้ก็ค่อนข้างสาหัสอยู่ อยู่กับความรู้สึกของตัวเอง มันเกิดขึ้นเราก็รู้สึกมันย่อมเสียใจอยู่แล้ว

คือมันเป็นเรื่องไม่จริงแต่เค้าไปพูดกันซะเหมือนจะเป็นเรื่องจริง

พอมันเป็นข่าว มันก็มีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ มันกลายเป็นสองอันไปแล้วและก็ผ่านไปแล้วเกิดขึ้นไปแล้ว มันก็คือถ้าคิดอีกมุมนึงมันก็ดีที่เรามาเจอเรื่องอย่างนี้แล้วมันทำให้เรามีภูมิคุ้มกันอะไรบางอย่าง

สมมติว่าศิลปินรุ่นน้อง ๆ ที่อาจยังไม่เจอเหตุการณ์แบบนี้แล้ววันนึงอาจต้องเจอ การต่อสู้กับความเชื่อของคนหรือกระแสสังคม มีอะไรที่เราเรียนรู้จากช่วงชีวิตช่วงนั้นที่เราเผชิญมาที่จะช่วยบอกน้อง ๆ ศิลปิน

ก็คงไม่บอกอะไรมากล่ะค่ะ ต่ายเชื่อว่าทุกคนมี มันเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าใจได้ค่ะว่าการอยู่ในสังคมร่วมกัน ความสงบ การที่เราไม่ไปแสดงความคิดเห็นอะไรที่มันจะมีผลกระทบกับคนอื่น คือจริง ๆ ทุกคนรู้นะคะแต่บางช่วงบางโหมดจังหวะและเวลาถ้ามันเกิดขึ้นแล้วบางทีเจ้าตัวอาจจะคิดน้อยไป มันอาจจะมีเกิดขึ้นกับบางคน ต่ายเชื่อว่าสิ่งทีดีที่สุดคือเราอยู่กับปัจจุบัน อยู่อย่างมีสติ อยู่อย่างคิดให้ถี่ถ้วนมากขึ้นกว่าเดิม มันจะช่วยเราได้ เพราะว่าทุกวันนี้มันมีสื่อโซเชียลมันไปได้ไวมาก บางทีเราคิดว่าแค่หนึ่งวิ เฮ้ยคิดขึ้นได้ก็ไม่ทันแล้ว มันไปไกลมาก บางคนแคปไวอะไรไว มันไวยิ่งกว่า คือคิดว่าสิ่งที่ช่วยทุกคนได้ต่ายว่าคือ ‘สติ’ เรื่องเดียวเลย คิดนาน ๆ ไตร่ตรองให้ดี ๆ ค่ะ เพราะว่าทุกวันนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนกว่าจะเกิดเรื่องและมีข่าวไปออกสื่อสิ่งพิมพ์หรือทีวีเนี่ยมันใช้เวลานานมากเลยนะคะ กว่าจะแบบเอ้ยนี่คือข่าวใหญ่ แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่

ครูสลาเคยพูดไว้ว่าเหตุการณ์ช่วงนั้นเป็นเหมือน ‘บาดแผลจากความสำเร็จ’ ต่ายฟังคำนี้แล้วรู้สึกว่ายังไง ความหมายของคำนี้คืออะไร

มันก็เป็นคำที่เราไม่รู้ว่าจะนิยามหรืออธิบายยังไงดี แต่มันทำให้เรารู้ว่ากว่ามันจะผ่านมาได้ความสำเร็จนี่มันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เราต้องสู้กับมันแล้วเราก็ต้องเรียนรู้กับมัน เราต้องลงทุนกับมันทั้งแรงกายแรงใจแรงความสามารถแรงความคิดต่าง ๆ ทุกอย่าง ต่ายมองว่าครูอาจจะใช้คำว่า ‘บาดแผลจากความสำเร็จ’ แต่มุมของลูกศิษย์คือมันมีคุณค่ามาก ๆ  จริง ๆ ค่ะ เพราะว่าความสำเร็จทุกอย่างใช่บางทีเราแลกมาด้วยน้ำพักน้ำแรง แลกมาด้วยความเจ็บปวดเหนื่อยล้า แต่ในช่วงวินาทีที่เราทำเราก็มีความสุขกับมัน มันมีทั้งสิ่งที่เป็นทั้งบวกและลบ ค่อยเป็นพลังให้เราอยากจะทำให้ผลงานนั้น ๆ มันสำเร็จ มันอยู่ในนั้นทั้งหมดเลย

ต่ายเชื่อว่าสิ่งทีดีที่สุดคือเราอยู่กับปัจจุบัน อยู่อย่างมีสติ อยู่อย่างคิดให้ถี่ถ้วนมากขึ้นกว่าเดิม มันจะช่วยเราได้

Being Aura-Thai ความเป็นต่าย… ‘ออร่า-ทัย’

ผมนึกภาพตอนต่ายรีแลกซ์สบาย ๆ ไม่ออกเลย เวลาต่ายรีแลกซ์เราทำอะไรอ่ะฮะ

ดูหนังส่วนนึงค่ะ จริง ๆ ก็เป็นคนชอบดูหนัง ไปซื้อหนังสือเวลาเดินห้างก็ไปเข้าร้านหนังสือก่อนเลยค่ะ ก็ดูชีวิตของครูผู้หลักผู้ใหญ่ที่ทำให้เราเห็น เราก็มีความรู้สึกมันมีเสน่ห์ดูดีจังเลย เวลาไปห้างก็เข้าร้านหนังสือก่อนเลย แล้วจะดูหนัง ไปนั่นไปนี่ก็ค่อยว่ากัน ช็อปปิ้งนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยด้วยความเป็นผู้หญิงก็ไปได้ทั้งวันบางทีเดินจนห้างปิดเลยค่ะ

ก็ด้วยความต่ายก็อยู่กับคุณยายตั้งแต่เด็ก โตมาได้ร้องเพลงก็อยู่กับผู้ปรมาจารย์ที่เป็นรุ่นใหญ่ทั้งหมด ทีมงานก็เป็นผู้ใหญ่หมดเลย ก็อาจจะเป็นไปได้ว่ามันทำให้เราอยู่กับคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเราตลอดเวลา

ใช่ค่ะ คิดว่าเป็นสิ่งสำคัญอันดับ 1 เลยก็ว่าได้ และตอนเด็กเราอยู่กับคุณยายเวลาคุณยายไปเล่นกับเพื่อนจะชอบไปนั่งฟังผู้ใหญ่เค้าคุยกันถึงเรื่องที่ผ่านมา ได้เห็นประสบการณ์ที่ผ่านมาของท่านแล้วรู้สึกชอบ

ต่ายเป็นคน sensitive มั้ยฮะ มีเรื่องไหน sensitive เป็นพิเศษ

sensitive ง่ายเนี่ยจะเป็นเรื่องที่บางทีเราเห็นการต่อสู้ชีวิตของคน ล่าสุดเลยไปรายการที่เค้าสู้ชีวิตและต้องมาร้องเพลงชิงทุนแล้วเราเห็นชีวิตเค้า ไม่มีอะไรเลยและสู้เพื่ออะไรบางอย่างไม่ใช่เพื่อความร่ำรวยหรือความสำเร็จ มาเพื่ออยากได้ทุนสักก้อนนึงเพื่อต่อยอดตัวเอง แค่นี้ต่ายก็ร้องไห้แล้ว บางรายการบอกคุณต่ายมีอะไรจะพูดจะเล่าไหม พูดไม่ได้เลยมันจุกพูดแล้วจะร้องไห้ไปด้วย

พอมองย้อนกลับไปมันมีช่วงอะไรไหมที่พอคิดแล้วมันรู้สึก sensitive ขึ้นมา

ก็เป็นช่วงที่เราสู้ สู้แล้วยังไม่เห็นอะไร ไม่รู้ว่ายายอยู่กับน้องอยู่ยังไง ตอนนั้นคือเห็นภาพตลอดเลยและเวลามีเรื่องใครคล้าย ๆ  อย่างนี้ภาพเหล่านั้นมันจะผุดขึ้นมาตลอด ตอนนั้นกว่าจะรู้เรื่องกันก็ต้องเขียนจดหมาย โทรศัพท์ก็ยังไม่มี เราไม่ได้พร้อมขนาดนั้นช่วงที่เป็นศิลปินฝึกหัดที่แกรมมี่ คุณยายก็ต้องเดินหลังค่อม ๆ กว่าจะไปถึงโทรศัพท์ที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน นึกถึงช่วงนั้นมันจะผุดขึ้นมาตลอดเลย

พอเราประสบความสำเร็จแล้วเราก็ดูแลได้อย่างดีแล้วสบายใจแล้วทั้งคุณยายทั้งน้องชาย

ค่อย ๆ ค่ะ  ค่อย ๆ ขยับเราตั้งใจแล้วว่า เราก็ไม่ได้มีใครชีวิตที่ผ่านมาก็มีกันอยู่แค่นี้ค่ะ

ต่ายเคยให้สัมภาษณ์ว่าต่ายสัมผัสทุกช่วงเวลามาหมดแล้วไม่ว่าช่วงกระแสดี กระแสเงียบ กระแสกลาง ๆ บางคนเจอแบบนี้เอาไม่อยู่นะเวลาเริ่มต้นด้วยความสำเร็จแล้วมันไม่สำเร็จเท่าเดิม บางคนรับไม่ได้ไปต่อไม่ได้ แต่ต่ายยืนหยัดอยู่ในวงการมาได้จะ 20 ปีแล้วอะไรที่บอกให้เราเดินต่อไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ได้

จริง ๆ การที่คนเราถูกให้กำลังใจมีความชื่นชม ‘เสียงดีจัง’ ‘เพลงดัง’ อย่างนั้นอย่างนี้ในทางบวกตลอดมันจะทำให้เรารู้สึกเหลิง รู้สึกพุ่งอะไรบางอย่างในใจ ไม่ใช่ว่าต่ายไม่เคยสัมผัสความรู้สึกนั้นนะคะ มันมีและเราก็เคยถูกกดไว้ด้วยความรักและความหวังดีจากผู้ใหญ่ พอมันเริ่มพักไม่พอเริ่มเหนื่อย เริ่มเจออะไรซ้ำ ๆ ส่วนในอีกมุมหนึ่งก็ไปแล้วเจอแฟนเพลงชู ๆ ๆ ๆ ยก ๆ ๆ ๆ เราไม่รู้ตัวเองบางทีเราฟึดฟัด ๆ แสดงอะไรโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว จนพี่บ่าวกับพี่สาวร้องไห้ มันน่าจะส่งสัญญาณอะไรบางอย่างว่าเอาไม่อยู่รึเปล่า แล้วไม่รู้ตัวเองหรือรู้ตัวเองแต่ก็ยังทำหรือเปล่าก็ไม่รู้ค่ะ ครูสลาด้วยความที่ทำงานและท่านก็สนิทด้วยความเป็นพ่อ ท่านก็คงมีการพูดคุยสุดท้ายคือไม่รู้ตัวจริง ๆ ผู้ใหญ่เรียกคุยค่ะอันนั้นคือหวังดีกับเรามาก ๆ และเราก็คิดตามใส่สิ่งที่ครูสอน นอกจากท่านจะเป็นนักแต่งเพลงแล้วครูมีความเป็นพ่อ ครูมีวิธีพูดด้วยความที่ครูสอนเด็กนักเรียนคือมันเป็นอะไรที่ต่ายรู้สึกขอบคุณมากจนถึงทุกวันนี้ ถ้าไม่ใช่ด้วยเทคนิควิธีเหล่านี้ไม่รู้ว่าอาจจะเอาไปอยู่เหมือนกัน การอยู่ท่ามกลางความชื่นชมอย่างเดียวเป็นอันตรายมากค่ะ ต่ายรู้สึกขอบคุณมาก ถ้าเวลาที่เราผ่านมาและทุกคนมีสติและรู้ว่าสิ่งทีเราทำอยู่ มันไม่ใช่การถูกหวยกว่าจะสู้มาถึงตรงนี้และโอกาสมันแทบจะหาไม่ได้ เราก็จะไม่หลงและเราก็จะไม่เหลิง แต่ในล้านคนมันจะมีสักกี่คนที่จะไม่เป็นเลย หนึ่งในนั้นคือต่ายคนนึงที่คิดไม่ได้ที่เราไม่รู้สึกเลย เพราฉะนั้นจึงกว่าเราจะเติบโตกว่าจะเราจะแข็งแกร่งได้ มีสติ กว่าจะมองทุกอย่างเป็นกลางได้ ดีใจกับมันได้ในสิ่งที่ควรจะเป็น กว่าจะเข้าใจมันใช้เวลาในการเรียนรู้เยอะมากค่ะ

แปลว่าก็อย่าไปรังเกียจคำติมันจะได้ช่วยบาลานซ์ให้เราไม่หลุดไปอีกทางนึง

ใช่ค่ะ อันนี้สำคัญมาก

มีโกรธบ้างมั้ยครับ

มีค่ะ มีอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่นิสัยเป็นคนชอบคิด ก็จะไปนั่งคิดว่าทำไมผู้ใหญ่ถึงมาเตือนมาคุยกับเรา

ถ้าย้อนกลับไปตอนออกอัลบั้มแรกก็ประมาณ 17 ปีกว่า ๆ บอกตัวเองว่ายังเป็น ‘ดอกหญ้าในป่าปูน’ รึเปล่าวันนี้

เหมือนเดิมนะคะ เราเห็นอะไรมาเยอะสุดท้าย สุดท้ายคำต่าง ๆ อย่าง ‘ราชินีดอกหญ้า’ หรือ ‘ศิลปินล้านตลับ’ หรืออะไรก็ตามที่มันมีมาและชีวิตเราดีขึ้นกว่าเดิม ดูแลตัวเองได้ ดูแลพ่อแม่ได้ ดูแลครอบครัวได้ ทำตามความฝันของตัวเองในบางเรื่องได้ แต่ต่ายก็ยังเป็นเหมือนเดิมก็ยังเป็นคนเดิม แค่บางอย่างพอมันดีขึ้นมันอาจจะทำให้ชีวิตเราปรับเปลี่ยนตัวเองไปแค่นั้นเอง

คุ้นกับย่านอโศกรึยังฮะ

ไม่หลงแล้วค่ะ (หัวเราะ)

สิ่งนึงที่น่าตื่นเต้นก็คือการที่ตอนนี้ต่ายมีธุรกิจ เรียกว่าเป็นนักธุรกิจได้แล้ว

เพิ่งก้าวเข้ามาค่ะ เป็นน้องใหม่

มีแบรนด์ของตัวเองชื่อว่า ‘ออร่า-ทัย’ มันเริ่มต้นมายังไงครับ

จริง ๆ  ออร่า-ทัย เริ่มต้นมาจากที่เราเจอมาทุกอย่างพีค กลาง ๆ จนเพลงไม่ติดเลย จนมันมาถึงช่วงนึงที่มันเรียกกันตรง ๆ  เลยคือเป็นจุดอิ่มตัว ถึงวันนึงเราจะวิ่งงานเหมือนเดิมแรงเราอาจจะไม่เหมือนเดิม เหนื่อยมาก ๆ ก็หมดไฟอยากกลับบ้านมันสะสมหลาย ๆ  อย่างแล้วเรารู้สึกว่าเราเกษียณตัวเองจากการเป็นนักร้องไม่ได้หรอก มีหลายคนถามว่าจะเลิกร้องเพลงเมื่อไหร่เยอะมาก ๆ ถูกถามตลอดบ่อยมาก เราก็ให้คำตอบคนอื่นไม่ได้จริง ๆ แม้แต่เรายังให้คำตอบตัวเองไม่ได้เลย เพลงมันก็อยู่ในสายเลือดของเรามาตลอด วันนึงที่เราบอกว่าเราหมดไฟแต่สุดท้ายมันก็จะโหยหาอยู่ดี เลยรู้สึกว่าถึงจุดอิ่มตัวก็จริงแต่เราก็ยังอยากทำงานตรงนี้อยู่แต่เรารู้สึกว่าเราจะวิ่งงานแบบปีนึงเป็นร้อย ๆ งานไม่ได้เหมือนเดิมแล้ว และเราจะอยู่ตรงนี้ไปด้วยแล้วมันจะมีอะไรบางอย่างที่ไปพร้อมกันได้อย่างแข็งแรงและมั่นคงขึ้นก็คิดอย่างนี้ค่ะ ย้อนไปเมื่อ 5-6 ปีที่แล้วก็คิดว่าทำอะไรดีลิสต์ออกมาเยอะมาก คือจริง ๆ คิดชื่อได้แล้วด้วยตอนนั้นที่เกี่ยวกับสกินแคร์ที่เกี่ยวกับความสวยความงาม เอาตัวเองเป็นที่ตั้งถ้าวันนึงทำจริง ๆ แล้วมันไปได้จริง ๆ เราก็อยากจะพูดในสิ่งที่มันเกิดจากเราได้อย่างเต็มปากเต็มความรู้สึก ก็เลยคิดว่าสิ่งนี้แหละสิ่งที่มันมาจากการที่เราเป็นนักร้องและเราได้ดูแลตัวเอง ความเป็นศิลปินรุ่นพี่ก็จะบอกเราว่าทุกคนมาดูเราหน้าเวทีเค้าไม่ได้มาฟังเพลงเราอย่างเดียวนะ เค้าก็บอกว่าเค้าก็อยากเห็นว่าต่าย อรทัยสวยมั้ย ผิวดีรึเปล่า แต่งตัวเป็นยังไง เราก็ฟังจากพี่นาง พี่ฝน ธนสุนทร แล้วก็เห็นการดูแลตัวเองของพี่ ๆ เค้าเราก็เอามาปรับใช้กับตัวเองและดูแลตัวเองมาตลอดตั้งแต่อัลบั้มชุดแรก ก็ดูแลตัวเองมาสม่ำเสมอก็คิดว่าอันนี้แหละมันน่าจะตรงกับตัวเราเองมากที่สุด เราน่าจะพูดได้ ทำอยู่จริง ๆ เราพูดแล้วทุกคนจะเชื่อเรา

ตอนนี้มีโพรดักออกมากี่อย่างละฮะ

มี 3 ตัวแรกก็จะเป็น เซรั่ม เดย์ครีมกันแดด และก็มีมาสก์หน้าออร่า-ทัย

มีอย่างนึงที่น่าสนใจเกี่ยวกับออร่า-ทัยผมดูหนังโฆษณาคนทำนี่ก็มือรางวัลระดับโลกเลยนะฮะ เราดูโฆษณาของคุณต่อมาเยอะแล้วเก่งมาก เป็นหนังโฆษณาที่สนุกมากและได้เห็นต่ายทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าต่ายจะทำได้เหมือนมาเล่นหนังตลกกับเค้าด้วย สิ่งที่รู้สึกได้เกี่ยวกับแบรนด์นี้คือคุณไม่ได้ขายเฉพาะแค่ผลิตภัณฑ์เสริมความงามหรือดูแลผิวพรรณอย่างเดียว คล้าย ๆ คุณขายโอกาสให้กับคนที่จะเข้ามาร่วมเป็นตัวแทนให้กับผลิตภัณฑ์นี้ ขายความเป็นนักสู้ชีวิตด้วยใช่มั้ยฮะ พอจะขยายความให้ฟังได้มั้ยฮะ

ก็คือจริง ๆ อย่างลูกผู้หญิงทุกคนอ่ะค่ะ เราไม่ได้มีแค่ตัวเราคนเดียวเรายังมีพ่อแม่ที่รอเราอยู่ทางบ้าน บางคนความหวังอยู่ทีเราคนเดียว และแม้แต่ตัวเราเองก็ตั้งใจที่จะจากบ้านมาและทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว เราก็อยากให้ทุกคนทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวจริง ๆ เราไม่ได้บอกว่ามาอยู่กับเราแล้วคุณไม่ต้องทำงานอย่างอื่น เราอยากจะให้กลุ่มแฟนคลับของเราที่สู้ชีวิตอยู่แล้วเค้าได้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น มากกว่าในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่แล้ว อาจจะไม่ได้ถล่มทลายหรือร่ำรวยอะไร เราก็จะพูดในมุมความเป็นจริงว่าเป็นอาชีพเสริม ถ้าเสริมมากขึ้นกว่าเดิมแล้วเราจะสบายใจมากขึ้นกว่าเดิม และมีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้นไปอีกจากงานที่ทำอยู่ และเราก็อยากให้ทุกคนดูแลตัวเองด้วย รักตัวเอง วันนี้เราจากมาเราตั้งใจที่จะทำเพื่อทุกคนแต่เราก็ต้องแข็งแรงมั่นคงที่เราจะกลับไปดูแลทุกคนได้ค่ะ เนื้อในที่อยู่ในภาพยนตร์บางทีอาจจะมีมุมที่ดูแลตัวเองเพื่อให้ผู้ชายมารัก ให้คนอื่นมาสนใจเรา ดูแลเพียงแค่ทำให้สวยขึ้นอย่างเดียวมันไม่ได้ค่ะ ถ้าเราแข็งแรงจากข้างในที่รักตัวเองมาก ๆ วันนึงเราจะพร้อมที่ดูแลทุกคนได้มันต้องเริ่มจากตัวเราค่ะ

สมมติดูแล้วอยากเป็นตัวแทนนี่ต้องติดต่อยังไงครับ

อันนี้เรามีเฟซบุ๊กอยู่แล้ว เข้าไปที่เฟซบุ๊ค ‘ออร่า-ทัย’ และก็สมัครได้เลยค่ะ ค่ะก็ง่าย ๆ เลยทุกวันนี้มีไลน์แอด ก็แอดเข้าไปได้เลยค่ะ ‘@aura-thai’ เราจะมีทีมที่คอยให้คำแนะนำ บางคนเข้ามาเป็นตัวแทนมาอยู่ในครอบครัวของเรา บางคนขายเก่งมากอยู่แล้วยิ่งเป็นอะไรที่ดีมาก มาช่วยกันทำให้มันแข็งแรงขึ้นมาให้คำแนะนำกันและกันค่อย ๆ เรียนรู้ไปด้วยกัน ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ต่ายเองก็ท้าทายมาก ตัวเองก็ไม่ได้มีประสบการณ์ด้านนี้ บางคนอยากขายแต่ไม่มีประสบการณ์เราก็จะมีทีมที่ให้คำแนะนำเรื่องการขายค่ะ หากใครอยากได้รับคำแนะนำ คำอธิบายยาว ๆ ก็โทรมาได้ที่ 02-669-9888 ค่ะ เป็นชื่อเพลงด้วยนะคะ เป็นเพลงเพื่อที่จะโปรโมตเบอร์โดยเฉพาะเลยค่ะ เป็นจังหวะกลาง ๆ เนื้อหาจะเป็นเรื่องความห่วงใยอยาจะรู้หรือให้เราช่วยแก้ปัญหาโทรมาได้เด้อเบอร์นี่

ดูแลตัวเองเพื่อให้ผู้ชายมารัก ให้คนอื่นมาสนใจเรา ดูแลเพียงแค่ทำให้สวยขึ้นอย่างเดียวมันไม่ได้ค่ะ ถ้าเราแข็งแรงจากข้างในที่รักตัวเองมาก ๆ วันนึงเราจะพร้อมที่ดูแลทุกคนได้มันต้องเริ่มจากตัวเราค่ะ

ตอนนี้สนุกมั้ยกับการเป็นนักร้องด้วยนักธุรกิจด้วย

ก็ทั้งสองอันวันนี้ในเรื่องการ้องเพลงต่ายเองก็เชื่อว่าเรายังไปได้อีกนาน เรายังสนุกอยู่ แล้วก็ในเรื่องของสิ่งใหม่ที่เข้ามารู้สึกท้าทายมากยังมีอีกหลายอย่างที่ไม่รู้เรื่องเลยก็ว่าได้

แบ่งเวลายังไงครับอันไหนมากกว่ากัน

ตอนนี้พอพ้นโควิดงานคอนเสิร์ตเริ่มจะมีเข้ามาบ้างก็สบาย ๆ ก็จะมาเน้นที่งานด้านธุรกิจ เราอยากจะรู้เหมือนกันว่าเราไปได้ไกลแค่ไหน มันเป็นอีกทางนึงที่เราไม่รู้เลย

กลัวมั้ยครับว่าวันนึงพอมันเริ่มเติบโตแล้วมันจะทำให้สมาธิเรื่องการทำเพลงมันน้อยลงไปมั้ย

ไม่หรอกค่ะ วันนี้มันก็เป็นสิ่งที่มาจากเราด้วยส่วนนึงมันเกิดจากความรู้สึกของเราจริง ๆ มันก็ออกมาเป็นรูปเป็นร่างแล้ว คิดว่าน่าจะบริหารเวลาได้เพราะเราตัดสินใจแล้ว

ต่ายเคยบอกเอาไว้ในบทสัมภาษณ์นึงว่าต่ายไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจกับโชคชะตาของตัวเองเพราะคิดว่าทุกอย่างมันถูกกำหนดมาแล้ว ทุกวันนี้ยังคิดอย่างนั้นอยู่มั้ยครับ

เรื่องบางเรื่องตายมองว่าอยู่ดี ๆ เราก็ไม่คิดว่าเราจะมีโอกาส มีบางอย่างเกิดขึ้นกับชีวิตเรา แต่พอมันเกิดขึ้นกับเด็กคนนึงเลยรู้สึกว่าบางอย่างมันเป็นสิ่งที่เรากำหนดได้ แต่บางเรื่องมันเป็นสิ่งที่ถูกขีดมาแล้วเราถึงมาอยู่ตรงนี้

มีอะไรที่ต่ายกลัวกังวลเป็นพิเศษบ้างมั้ยฮะ

ทุกคนพอมันผ่านช่วงวัยนึงไปในมุมของต่ายเริ่มห่วงเรื่องสุขภาพของตัวเอง สุดท้ายเราก็ยังห่วงคนที่เรารักคนในครอบครัวของเรา ถ้าวันนึงไม่มีเราแล้วทุกคนจะยังไง ถ้าวันนึงเราไม่สามารถที่จะลุยได้เหมือนเดิมสิ่งที่มันเป็นอยู่สิ่งที่ทุกคนได้รับจากเราถ้ามันไม่ได้เหมือนเดิมแล้วทุกคนจะยืนได้แข็งแรงมั้ยแอบคิดมุมนี้ค่ะ

ตลอดชีวิตการทำงานมาถ้าให้นึกทบทวนตอนนี้ บทเรียนอะไรที่สำคัญที่สุดในชีวิตของต่ายครับ

มองย้อนไปมันมีอยู่เหตุการณ์นึงที่คุณยายเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ แล้วเหมือนกับจะไม่ไหวแล้วเราก็กลับไปหาท่านไม่ได้ และทุกสิ้นเราก็จะโทรไปอวยพรสิ้นปีกับพ่อสวัสดีปีใหม่แล้วพ่อก็จะแก่ขึ้นอีกปีแล้วนะ หลายต่อหลายครั้งมันทำให้เรารู้สึกว่าเราออกจากบ้านไปสู้ความฝันทุกอย่างแล้ววันนี้มันสำเร็จ เราบอกกับตัวเองและทุกคนว่าเราทำเพื่อครอบครัวแต่สุดท้ายคือเราทำให้ครอบครัวแล้วจริง ๆ หรือยังหรืองานมันทำให้ครอบครัวเราพัง ทำเพื่อครอบครัวไม่ใช่ให้งานมาทำให้เราต้องห่างกับครอบครัว มันเป็นบทเรียนที่สำคัญมาก ตอนที่ยายเป็นหนักมาและดูเหมือนว่ายายคงไม่อยู่กับเรา ก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่าถ้ายายไม่อยู่กับเราแล้วใจตัวเองจะเป็นยังไง ความสำเร็จทุกอย่างมัวแต่ให้ความสำคัญกลัวว่ามันจะไม่ดีกลัวว่ามันจะไม่ประสบความสำเร็จกลัวจะไม่มีคุณภาพ เราออกมาอยากทำให้ชีวิตเราดีขึ้นไม่ใช่หรอแต่แค่กลับไปยังไม่มีเวลา อย่างอื่นบริหารได้เรื่องแค่นี้ทำไม่ได้ ตั้งแต่นั้นมาตั้งปณิธานกับตัวเองว่าจะกลับบ้านทุกหนึ่งเดือน ช่วงที่ก่อนที่คุณยายจะเสีย 3-4 ปีที่ผ่านมาคือเปลี่ยนแปลง และคุณพ่อก็เหมือนกันท่านก็พูดทุกปีและทำให้เราคิดได้ทำให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่งั้นคงเสียใจมาก

หลายต่อหลายครั้งมันทำให้เรารู้สึกว่าเราออกจากบ้านไปสู้ความฝันทุกอย่างแล้ววันนี้มันสำเร็จ เราบอกกับตัวเองและทุกคนว่าเราทำเพื่อครอบครัวแต่สุดท้ายคือเราทำให้ครอบครัวแล้วจริง ๆ หรือยังหรืองานมันทำให้ครอบครัวเราพัง ทำเพื่อครอบครัวไม่ใช่ให้งานมาทำให้เราต้องห่างกับครอบครัว มันเป็นบทเรียนที่สำคัญมาก

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส