โอม รัธพงศ์ ภูรีสิทธิ์ หรือที่เรารู้จักกันในนาม YOUNGOHM คือแรปเปอร์หนุ่มในวัย 22 ปี ที่ดูเหมือนว่าความสำเร็จของเขานั้นจะมากล้นเกินเลขอายุไปมาก ในวัยที่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะเรียนรู้ในรั้วมหาวิทยาลัยแต่ยังโอมเลือกที่จะเดินในเส้นทางที่รักอย่างแน่วแน่และทุ่มเทนั่นคือ ‘การทำเพลง’

ความสำเร็จพุ่งเข้ามาหายังโอมอย่างรวดเร็วและนั่นทำให้เขาต้องรับมือกับโลกอีกใบและปัญหาหลายสิ่งที่เข้ามาพร้อมโลกใบนั้น ผู้คนมากมายที่พบเจอ หลากความต้องการ หลากความเห็นที่เขาต้องรับมือ รวมไปถึงการพบว่าตนเองกำลังมีอาการซึมเศร้าและการต่อสู้กับภาวะนี้เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่และได้ทำในสิ่งที่รักต่อไป

พบกับเรื่องราวของแรปเปอร์หนุ่มผู้เชื่อมั่น กับการเผชิญความจริงเพื่อเรียนรู้และเติบโตผ่านหลากเรื่องราวและมุมมองความคิดที่คุณอาจไม่เคยได้สัมผัสจากเขามาก่อน

จำได้มั้ยว่าเมื่อปีกว่า ๆ กับตอนนี้คุณมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง

ผมว่าผมเริ่มเข้าใจตัวเองมากขึ้น ผมมองตัวเองในวันนั้นผมรู้สึกว่า ‘มึงเป็นบ้าอะไร’ ทุกอย่างมันพลุ่งพล่านไปหมดเลย ชื่อเสียงมันพาเราไป คนรอบตัวทำให้เราเชื่อว่าเราสุดยอดที่สุด เจ๋งที่สุดแล้ว แต่มันก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้ตัวว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น

ในทุกอาชีพต้องมีคนที่เก่งที่สุดและอ่อนที่สุด ถ้าเก่งสุดคือคะแนน 10 เต็มอ่อนสุดคือ 1 ตอนนี้คุณมองตัวเองว่าอยู่แถว ๆ เบอร์ไหนครับ

น่าจะสัก 7.5

แล้วคิดว่าจะไปถึง 10 มั้ย

ไม่ถึง 10 แน่นอนมากสุดน่าจะแค่ 9 10 มันคือความเพอร์เฟกต์มันไม่มีจริง

0 ณ วันที่เริ่มต้น

คุณเป็นคนที่มีวิธีคิดที่ค่อนข้างแตกต่าง บางครั้งก็ขวานผ่าซาก ขบถ นิสัยแบบนี้มันเริ่มมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลยรึเปล่าครับ

ไม่อ่ะ ผมเป็นเด็กดี เพราะผมเชื่อฟังพ่อแม่ตลอดแทบทุกอย่างเลย ตอนผมเรียนอนุบาลมันเป็นภาพลาง ๆ ในหัวผม เหมือนผมยืนอยู่กับพ่อแม่แล้วครูเดินมาชมว่าเนี่ยลูกเรียนได้ที่ 1 นะ ตอนประถมมัธยมผมก็ตั้งใจเรียน ส่งงานครบ เคยได้ที่ 1 ที่ 2 ตอน ม.ต้น

ชอบวิชาอะไรที่สุดครับ

ภาษาอังกฤษครับ ผมคิดว่ามันต้องใช้จริง ๆ มันเริ่มมาจากจัสติน บีเบอร์ ตอน ป.5-6 ผมชอบมาก จัสตินกำลังมาเลย เราเห็นเค้าในทีวีแล้วแบบเฮ้ยไอ้เด็กนี่ทำไมมันเท่จังวะ แล้วเพลงเค้าก็เพราะดี ผมก็นั่งดูคลิปจัสตินในยูทูบทั้งวัน ผมก็รู้สึกว่าถ้าวันนึงเราไปเจอจัสตินแล้วเราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เราจะบอกชอบเค้ายังไงวะ ผมก็เริ่มฝึกแปลเพลง หรือเวลานึกว่าเจอฝรั่งแล้วเราจะพูดกับเค้ายังไง ผมก็นั่งเสิร์ชนั่งหาเล่นไปเรื่อย

แล้วฮิปฮอปเนี่ยมันเริ่มขึ้นได้ยังไง

จริง ๆ ก็เริ่มจากจัสตินนี่ล่ะครับ เค้าจะมีเพลงนึกที่ฟีเจอริ่งกับลูดาคริส แล้วพอเราเข้ามาฟังเนี่ยในยูทูบมันก็จะขึ้นเพลงฮิปฮอปแนะนำมาให้ข้าง ๆ ผมก็เลยลองกดเข้าไปฟัง

เริ่มเขียนแรปเมื่อไหร่ครับ

พอเรียน ป. 6 จบ มันจะมีช่วงว่างที่ต้องไปต่อ ม. 1 เป็นช่วงรอยต่อก็นัดเพื่อนไปเที่ยวห้างกัน เพื่อนผมมันจะไปเรียนอีกโรงเรียนนึง มันก็ไปเจอเด็กอีกโรงเรียนมันก็ชวนมา น่ารักมาก ๆ ผมก็คิดว่าต้องจีบเลยคนเนี้ย ผมก็จีบ ๆ คุย ๆ เหมือนเค้าไม่ค่อยชอบผม แล้วขู่ผมว่า ‘เลิกโทรมาได้แล้วเดี๋ยวให้แม่แจ้งตำรวจจับนะ’ ผมก็เลยไม่ได้อะไร แต่ผมก็เริ่มฟังแรปแล้วช่วงนั้นก็เลยอยากลองเขียนเพลงจีบเค้าดู ก็นั่งเขียนคนเดียวอยู่ในห้องนั่งเปิดบีทฟรี ๆ ในยูทูบแล้วลองเขียนเล่น ๆ เต็มหน้ากระดาษ แต่ผมไม่เคยให้ใครฟัง มันเป็นเพลงแรกเลย มันไม่ได้โอเคและผมก็ลืมไปแล้ว แต่จำได้ว่าเป็นความทรงจำครั้งแรกที่เราเขียนเพลง

เริ่มจริงจังเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อไหร่ครับ

ประมาณ ม.5 ครับ ม.ปลายผมจะเจอเพื่อนที่ชอบแรปเหมือนกันละ ผมชอบฟังเพลงชอบร้องเพลงอยู่แล้ว และผมก็ร้องในห้องเรียน แล้วไอ้ 3 คนนี้มันก็ชอบเพลงเหมือนกันก็เลยได้รู้จักกัน ช่วงผม ม. 4 มันมีรายการ Rap is Now มาพอดี ผมก็เฮ้ยมันมีรายการแบบนี้ด้วยหรอ แรปด่าแบบเดือดจัดก็เลยอยากลอง หลังจากนั้นก็แรปกับเพื่อนกันทุกวันเลย

ตอนนั้นเริ่มมีความฝันที่อยากเป็นศิลปินมีชื่อเสียงรึยังครับ

คิดครับ ตอนนั้นผมมองมาถึงจุดตรงนี้ผมมองว่ามันยาก แทบไม่มีเปอร์เซ็นต์เป็นไปได้เลย แต่ inspire ผมหนัก ๆ เลยมาจาก ILLSLICK เลยนะครับ ผมเห็นเค้าผมรู้สึกว่าเค้ามาจากศูนย์จริง ๆ  มันเลย inspire ผมว่ามันคงไม่ยากเท่าไหร่มั้งในเมื่อมันมีคนทำได้คนนึงอ่ะ ผมเลยเริ่มวางแผนว่าอยากทำเพลงให้มันสำเร็จก่อน ม. 6 เพราะเราไม่อยากไปมหาลัยแล้วอ่ะ เราเบื่อ กะว่าทำเพลงแดกตังค์ยูทูบไปดีกว่า

หมายความว่าไม่เชื่อเรื่องการศึกษา เรื่องการเรียนรู้

เราเริ่มมั่นใจกับแนวทางของเรามากกว่า ว่าเราจะทำอะไร ผมเริ่มรู้สึกว่ามันต้องเป็นเพลงอ่ะ คนชอบถามว่าโตไปอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร ผมก็ถามแบบนั้นกับตัวเอง ก็มีแต่เพลงอย่างเดียวที่มันเป็นคำตอบ ณ ตอนนั้น คือสิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดมันต้องเป็นไอ้นี่แหละ ไม่งั้นคงไม่มีอะไรแล้วผมก็เลยเทหมดหน้าตักแต่ตอนนั้นก็เรียนไปด้วยตามหน้าที่แต่ในใจเราไปฝั่งนั้นหมดแล้ว

ในที่สุดคุณก็เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นเรียนอะไรครับ

มศว. ครับ ศิลปกรรม ยื่นพอร์ตเข้าไปครับ ก็มีที่ผมไปแข่งแรปกับเพลงในยูทูบ ไม่มีเกี่ยวกับเรียนเลย แข่ง Rap Is Now กับเพลง 10 ล้านวิว 20 ล้านวิว

ที่นี่ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยศิลปินแห่งหนึ่งเลย มีผู้คนที่ประสบความสำเร็จในวงการมากมาย แต่สิ่งที่คุณทำคือคุณไปเรียนอยู่กี่วันฮะ

คาบนึงครับ ประมาณครึ่งวัน 11 โมง จำไม่ได้ว่าวิชาอะไร แต่ที่จำได้แม่นคือเค้าให้การบ้าน คาบแรกเค้าให้การบ้านเลยและผมรู้สึกแบบ นี่กูทำเพลงมาหลายเดือนมากโดยที่ไม่ต้องทำการบ้านทำอะไรกูก็ได้ตังค์แล้ว ทำไมกูต้องมาทำการบ้านให้มึงด้วยวะเนี่ย แล้วผมก็ออกเลย หมดคาบนั้นผมก็กลับเลยทำเพลงอย่างเดียวและไปลาออกทีหลัง

คาบเดียวทำให้ตัดสินใจได้เลย อะไรทำให้มั่นใจขนาดนั้น

การบ้านครับ สำหรับผมการบ้านมันเป็นสิ่งที่รบกวนที่สุดในชีวิตตั้งแต่ผมเกิดมา ตั้งแต่สมัยเรียน ช่วงที่ผมกลับมาบ้าน มันควรเป็นช่วงที่ผมควรใช้เวลาสร้างสรรค์ทำสิ่งที่ผมอยากทำ มันควรเป็นช่วงเวลาของผม แต่การบ้านมันทำลายชีวิตผมมาก ๆ ผมไม่อยากทำการบ้านอ่ะ ผมอยากพักผ่อนหรืออะไรสักอย่างที่ผมอยากจะทำบ้างในเวลานั้น ผมเลยเบื่อเลยอคติกับมันมาก ๆ

“สำหรับผมการบ้านมันเป็นสิ่งที่รบกวนที่สุดในชีวิตตั้งแต่ผมเกิดมา ตั้งแต่สมัยเรียนช่วงที่ผมกลับมาบ้านมันควรเป็นช่วงที่ผมควรใช้เวลาสร้างสรรค์ทำสิ่งที่ผมอยากทำ มันควรเป็นช่วงเวลาของผมแต่การบ้านมันทำลายชีวิตผมมาก ๆ”

คุณบอกพ่อแม่คุณว่ายังไงแล้วทำไมเค้าถึงยอม

ผมว่าจริง ๆ  เค้าคงไม่ยอมหรอก แต่ผมดื้อ แม่ผมเค้าจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ตอนนั้นนะ แต่ตอนนั้นคือผมได้ตังค์แล้วไงผมห้าวหาญเพราะผมหาตังค์ได้แล้วไง ก็ไม่เยอะเท่าไหร่เดือนนึงเกือบหมื่น แต่ผมว่าผมอยู่ได้ ผมมีความสุขอ่ะ คือดีกว่าให้ผมไปนั่งเรียนอะไร ผมอยู่แบบนี้ดีกว่า พอผมออกมาผมเลยรู้สึกว่าผมจะเลือกเส้นทางของผม เพราะว่ามันจบไปแล้วเรื่องของโรงเรียน มหาลัย พ่อแม่ ตอนนี้ผมกระโดดมาสู่ชีวิตจริงแล้ว แล้วผมไม่สนหรอกว่าใครจะพูดอะไร ผมจะใช้ชีวิตของผมแล้ว เลิกพูดเลย ให้ผมได้ใช้ชีวิตของผมสักที

Dealing With Haters รับมือกับความเกลียดชัง

สิ่งนึงที่ตามมาหลังจากที่ยังโอมเริ่มเป็นที่รู้จัก ต้องยอมรับว่าคาแรกเตอร์ของคุณมันอ้อน มันเรียกแขกพอสมควร มันพร้อมที่จะทำให้คนหมั่นไส้ ใช่มั้ยครับ

ใช่ครับ ปกติ ผมโดนตั้งแต่ยังไม่ดังจนดัง

คือคุณเป็นศิลปินที่มี haters มีคนที่ไม่ชอบหน้าอยู่เยอะพอสมควร

จริงหรอพี่ ก็อาจจะเยอะแต่ผมว่ามีคนชอบผมเยอะมากกก (หัวเราะ) มันก็เป็นสัดส่วนของมันนะผมว่า

เวลาที่คุณเจอเรื่องแบบนี้ คนไม่ชอบ คนคอมเมนต์ เรารับมือกับมันยังไง

ผมอ่านมาเยอะมากนะ คอมเมนต์พวกนี้ มันก็จะวน ๆ แบบเดิมแหละ ผมเป็นคนไม่ค่อยอ่านอะไรพวกนี้ ก็อ่านบ้างแต่ผมไม่เอามาคิด แต่ถ้าเป็นพวกคอมเมนต์ที่ควรจะคิดผมก็เอามาคิดนะว่าเราผิดจริงรึเปล่า บางทีหลาย ๆ อย่างอาจจะมาจากอารมณ์ของคนคอมเมนต์มากกว่า มันไม่ได้มาจากหลักการอะไรเลยมันมาจากอคติ ผมก็คิดว่ามันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราจะแคร์คำพวกนี้เราไปแคร์คนที่ชมเราดีกว่าซึ่งมันมีเยอะกว่ามาก เวลาคนมาด่าผมผมก็อยากพิมพ์ด่านะ แต่คนมาชมเราไม่เห็นไปตอบเลย และไอ้นี่มาด่าแค่คนเดียวเราจะไปตอบมันทำไมวะ แต่บางคนพูดในทาง hate แต่เค้าอาจจะมีหลักของเค้าบางอันมันก็น่าคิด แต่บางคนก็ไร้สาระอยากระบายอารมณ์เฉย ๆ ผมแนะนำว่าอย่าไปอ่านเยอะเลยมันรกหัวเรา

บางทีคนเราโดนด่ามันก็อยากตอบโต้ มันมีหลักการอะไรที่ช่วยสะกดไว้ได้มั้ย

ก่อนหน้านี้ผมจะหัวร้อนกว่านี้เยอะมาก พิมพ์ด่าเลย แต่พอผมมองออกไปผมเกลียดทุกทีที่ผมทำแบบนั้น ผมก็เลยอยากจะบอกว่ามันเป็นอารมณ์ ณ จุดนั้นจริง ๆ คุณโมโหแล้วคุณก็ระบายออกไป แต่วันนึงพอคุณหายแล้วมันจะเป็นสิ่งที่ทำร้ายตัวคุณเอง แล้วคุณก็จะมารู้สึกว่า ‘ทำไมกูทำแบบนี้วะ’ บางทีถ้ามีเรื่องอะไรเข้ามาผมก็หาเหตุผลมาซัพพอร์ตว่าช่างมันเถอะ

“บางทีหลาย ๆ อย่างอาจจะมาจากอารมณ์ของคนคอมเมนต์มากกว่า มันไม่ได้มาจากหลักการอะไรเลยมันมาจากอคติ ผมก็คิดว่ามันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราจะแคร์คำพวกนี้เราไปแคร์คนที่ชมเราดีกว่าซึ่งมันมีเยอะกว่ามาก”

ที่คุณโดนบางทีเป็นเฟกนิวส์เลยก็มี คุณตอบโต้มันยังไงครับ

ถ้าเป็นอย่างนี้ผมก็คงต้องออกมาพูด อย่างเรื่องเซ็นนมเด็กอายุ 15 เค้าก็ว่ามันไม่เหมาะสม เป็นเยาวชน แต่ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยวันนั้นผมแค่ไปเล่นคอนเสิร์ต เสร็จแล้วผมก็ลงมาพักรอกลับบ้าน ผมก็บอกร้านว่าไม่ถ่ายรูปนะมีโควิด แล้วสุดท้ายการ์ดทางร้านก็พาคนมาอยู่ดี ผมก็โอเคผมก็ไม่รู้ว่านั่นคือเด็กหรือผู้ใหญ่ เพราะผมอยู่ในร้านเหล้าไง ผมก็แค่ทำตามหน้าที่เสร็จแล้วผมก็ไป

คือตอนนั้นก็ไม่ได้มีการเซ็น

เซ็นครับ แต่ผมก็ไม่ได้ขอน้องเค้าเซ็น น้องเค้าก็เป็นคนมาขอเซ็นเองอยู่แล้ว คือผมก็เหนื่อยแล้วจังหวะนั้นใครจะเซ็นอะไรก็จัด ๆ ไป

ก็เข้าใจได้ เพราะการเป็นศิลปินในบางสถานการณ์ถ้าเราปฏิเสธเราก็โดนว่า

ใช่พี่ เพราะผมเคยมาแล้ว ก็ดราม่า ตอนนั้นถ้าผมพูดว่าไม่ถ่ายได้มั้ยมันก็ได้นะเพราะมันเป็นสิทธิ์ของผม แต่ผมก็โอเคเพราะไม่อยากให้มันมีปัญหา แค่เล่นคอนเสิร์ตนี่ผมก็เหลือแล้วยังต้องมาไฝว้กับคนอีก

ขัดแย้งกับศิลปินด้วยกันก็มี ส่วนหนึ่งมันก็เป็นวัฒนธรรมฮิปฮอปด้วยที่เขียนเพลงดิสกัน ส่วนตัวผมที่ฟังเพลงที่คุณทำเพลงดิสผมฟังแล้วมันโคตรดีเลย เขียนดีมากเลย จริงๆ แล้วมันจริงแค่ไหนครับการไม่ถูกกันการทะเลาะกัน

สำหรับผมนะถ้าผมเขียนดิสใครก็คือจริงทั้งหมด ผมไม่ได้ดิสเล่น ๆ ผมโมโหจริง ๆ ผมมีอารมณ์ ผมอยากดิสผมอยากด่า แต่ปกติผมไม่ค่อยดิสใครอยู่แล้ว คนที่ผมดิสผมก็รู้สึกว่าเค้ามาหยามเกียรติผม ผมยอมไม่ได้ก็ตอกกลับไป

ในวัฒนธรรมฮิปฮอปดิสกันขนาดนี้ มันหายโกรธกันได้มั้ย

ก็ได้ครับ แล้วแต่คนแล้วแต่เคส แต่ผมว่าผมเป็นคนโกรธยากนะ แต่ก็หายยากด้วย ถ้าผมรู้สึกว่ามันไม่ได้ก็คือไม่ได้แค่นั้นเอง

‘โตไปไม่นุ้ย’ เล่าถึงแร็ปเปอร์คนหนึ่งที่มีพฤติกรรมตำหนิเพื่อนร่วมวงการและมีนิสัยที่รับไม่ได้ ถึงแม้แรปเปอร์คนดังกล่าวจะมีความสามารถก็ตาม เพลงนี้หลายคนมองว่ายังโอมแต่งเพื่อดิสแรปเปอร์รุ่นพี่ P9d (นุ้ย-กิตติ รวงผึ้งหลวง)

PAIN ความเจ็บปวด

เรื่องไบโพลาร์เรื่องอาการซึมเศร้ามันเริ่มมานานรึยังครับ

ผมเป็นครั้งแรกน่าจะช่วงเพลง ‘เฉยเมย’ ปล่อยใหม่ ๆ ครับ

ก็เป็นช่วงที่เริ่มมีชื่อเสียงเลย

ใช่ครับ ครั้งแรกที่เรารู้สึกคือซึมเศร้าก่อน ตอนนั้นเรารู้ตัวว่าข้างในมันมีอะไรเปลี่ยนไป ความคิด อารมณ์เราเปลี่ยนไปมาก ๆ

มันมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้คุณรู้สึกเศร้าเป็นพิเศษรึเปล่า

ตอนนั้นชีวิตมันเปลี่ยนไวมาก ตอนเรียนมัธยมผมเป็นคนที่อยู่กับเพื่อนสนิททุกวันทำเพลงด้วยกัน ช่วงที่จบ ม.6 มาผมก็ว่างทำแต่เพลงเริ่มมีรายได้จากยูทูบ แต่พอมี ‘เฉยเมย’ มามันเริ่มดังมาก ๆ ผมก็มีงานไปทัวร์ ทำให้เราห่างจากเพื่อนห่างจากชีวิตที่เราเคยไปและเราก็เจอคนเยอะ เจอคนอยากได้อย่างนั้นอย่างนี้ สำหรับเด็กอย่างผมตอนนั้นผมว่ามันเยอะมาก วุ่นวายไปหมด รู้สึกห่างกับเพื่อนเกินจนไม่รู้จะคุยกับใคร บางคนเข้ามาหวังดีแต่เค้าไม่รู้มารยาท ไม่ใช่ว่าเราได้ทุกอย่างอะไรก็ได้ เลยทำให้เราเครียดสะสมด้วย

เวลาที่เรารู้สึกตัวว่าเศร้าเนี่ยอาการมันเป็นยังไง ร้องไห้ เหงา ?

ผมไม่ร้องไห้เลย แต่มันจะเบื่อ ไม่อยากทำอะไรเลย ไม่อยากคุยกับใคร ช่วงแรก ๆ ผมก็คิดตลอดว่ากูเป็นโรครึเปล่าวะหรือกูแค่เบื่อโลกวะ หรือว่ามันเป็นเพราะว่าเราเจอคนเยอะไปแค่นั้น ตอนนั้นคือมันสับสนไปหมด ผมคิดเยอะไปหมด

ปรึกษาใครมั้ย

ก็พยายามปรึกษาเพื่อน แต่ไม่ได้มีใครทักหรือรู้สึกว่าเราเป็นโรครึเปล่า ข้างในเราเหมือนมันพูดออกมาไม่ได้ คนอื่นอาจจะไม่เคยรู้สึกผมก็เลยไม่รู้จะอธิบายออกมายังไง

ช่วงที่แย่ที่สุดตอนที่เริ่มรู้สึกว่าเราเป็นโรคแล้วนี่มันเป็นยังไงครับ

ช่วงแรกมันยังไม่หนักมากครับ แค่เบื่อ ๆ ไม่อยากทำเพลงไม่อยากแรปเลย และอยู่ ๆ มันก็หายเอง เหมือนผมพยายามจะคุยกับคนอื่นเยอะ ๆ  พยายามพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา มันก็ดีขึ้นและมันก็หายไปเอง แต่รอบที่ 2 นี่มันหนัก มันคิดถึงเรื่องฆ่าตัวตายเลย ช่วงนั้นผมมีแฟนผมก็อยู่กับแฟนอย่างเดียวไม่ออกไปเจอใคร ก็บ่นให้แฟนฟังว่าอยากตายว่ะ เบื่อจัด ตื่นมาไม่มีความสุข ผมนอนวันละ 14 ชั่วโมงไม่อยากทำอะไรเลย

ตอนนั้นคืออยากตายจริงๆ 

ใช่ครับ คือมันรู้สึกจริง ๆ

เคยทำมั้ย

ยังไม่เคย แค่หาข้อมูล ตอนนั้นผมคิดว่าจะยิงหัวตัวเอง เพราะผมรู้สึกว่ามันเร็วที่สุดและเราไม่รู้สึกอะไร ตอนนั้นมัน blank ไปหมด ทำอะไรก็ไม่มีความสุข

อะไรทำให้ไม่ตัดสินใจฆ่าตัวตายครับ

เพราะผมยังไม่ได้คำตอบว่าผมเป็นอะไร เพราะผมเป็นคนที่ชอบหาคำตอบชอบหาความจริง ผมเชื่อวิทยาศาสตร์มาก ๆ ผมเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตัวผมมันต้องมีอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ไปเจอหมอที่โอเค เค้าก็บอกว่าน่าจะเป็นไบโพลาร์นะ

ซึมเศร้ากับไบโพลาร์ไม่เหมือนกันใช่มั้ยฮะ คุณหมอเล่าให้ฟังยังไงบ้าง

คืองี้ฮะ ไบโพลาร์มันจะมีสองขั้ว อารมณ์สองขั้ว มันจะมีขั้วความสุข คึก กับขั้วเศร้า มีแมเนียกับดีเพรสซึ่งเป็นอาการซึมเศร้า ต่างกันแค่ว่าคนที่เป็นซึมเศร้าจะไม่มีอาการแมเนียคือจะลงอย่างเดียว แต่ไบโพลาร์มันจะมีลงมีขึ้น ขึ้นสุดลงสุดได้ ซึ่งน่ากลัวมากต้องรักษาถ้าเราปล่อยให้มันสวิงไปจะไม่ดี ผมก็จะกินยารักษา

กินแล้วหายเลยมั้ย

หมอเป็นที่พึ่งสุดท้ายที่ทำให้ผมหายได้ หมอให้ผมกินยาผมก็กิน กินไปสิบวันก็รู้สึกดีขึ้นนะ จนทุกวันนี้ผมก็ยังกินอยู่

ตอนนี้เราไม่มีปัญหาเรื่องนั้นแล้ว

ล่าสุดคุยกับหมอ หมอว่าน่าจะอยู่ในช่วงไฮโปแมเนีย คือช่วงก่อนไปถึงแมเนียที่มันพีคสุด เป็นช่วงที่ดีที่สุดของไบโพลาร์ ถ้าเป็นศิลปินหมอบอกว่าสามารถ keep ไว้ในระดับนี้ได้ และไม่เดือดร้อนคนอื่น มันจะมีพลังมากกว่าคนปกตินิดนึง

มันส่งผลกระทบต่องานที่ทำมั้ยครับ

แน่นอนครับ งานผมไม่ทำเลย เพลงก็ไม่เขียนเลย เพลงโฆษณาอะไรก็ไม่ทำเลย ไม่อยากเจอใครเลย

สิ่งที่ควรระวังก็คือถ้าเริ่มรู้สึกแล้วควรไปหาหมอดีกว่า

ใช่ ๆ

แล้วก็ควรไปหาสม่ำเสมอ

อันนี้ก็อยู่ที่แต่ละเคสนะครับ อย่างผมก็นัดนาน ๆ ทีแหละ แรก ๆ ก็บ่อยหน่อย

ตอนนี้น่าจะเรียกได้ว่ากลับมาปกติแล้ว

ผมน่าจะไม่ปกติตลอดชีวิตแล้วล่ะ ผมชอบนะที่มันมีโรคนี้ในตัวผมอ่ะ ผมรู้สึกมันสนุกอ่ะ ผมรู้สึกว่าคนอื่นไม่เข้าใจผมหรอก การที่ผมสู้กับมันแล้วผมชนะมันได้ มันคือกูเว่ยกูจะปราบมันเว่ย ในตอนที่เศร้ามันเศร้าจริงนะ แต่ตอนที่เราชนะมันได้มันก็แค่นี้แหละทำอะไรกูไม่ได้หรอก คนเราผมเชื่อว่าทุกวันเล่นเฟซบ้างมันต้องเจอเรื่องแย่ ๆ  บางทีมันเยอะแล้วเราไม่ได้มานั่งทบทวนว่าเรื่องอะไรไม่ดีแล้วเรามาคิดทำไม ทุกวันผมจะต้องมาสรุปคนเดียวตอนกลางคืนว่ามีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับเราบ้างและเรารู้สึกยังไงกับมัน และจะมีทางไหนที่เราจะปล่อยวางมันได้บ้าง สุดท้ายมันก็จบ ณ ตรงนั้นและผมก็นอนหลับ ตื่นมาผมก็ไม่ได้คิด ณ จุดนั้นแล้วกลายเป็นอีกวันนึง

ดูเหมือนว่าอาการไบโพลาร์กลายเป็นผลบวกกับตัวคุณ

ทุกอย่างแหละพี่ ทุกอย่างที่มันเข้ามาเราอาจจะพลิกแพลงมันได้ตลอด เราต้องหาข้อมูลมันให้ดี รอบด้าน อย่างเรื่องพวกนี้ผมก็หาอ่านเองนะ อ่านแทบทุกโรคเลยเพราะผมยังไม่รู้ว่าเราเป็นอะไร ผมแค่รู้ว่าเกี่ยวกับจิตกูแน่ ๆ 

“การที่ผมสู้กับมันแล้วผมชนะมันได้ มันคือกูเว่ยกูจะปราบมันเว่ย ในตอนที่เศร้ามันเศร้าจริงนะ แต่ตอนที่เราชนะมันได้มันก็แค่นี้แหละทำอะไรกูไม่ได้หรอก”

ไม่น่าเชื่อว่านี่คือคนอายุ 22 ปี ฟังแล้วมันไม่เหมือนความคิดหรือวิธีการพูดของคนอายุ 22 ผมรู้สึกว่าคุณนิ่งขึ้น หนึ่งปีมันทำให้คนเราดูเป็นผู้ใหญ่ได้มากขึ้นขนาดนี้ ผมฟังเพลงในอัลบั้มแรกของคุณก็รู้สึกได้ถึงความนิ่งขึ้น มันมีบทเรียนอะไรให้เราบ้างครับการที่ผ่านพ้นไบโพลาร์ มันสอนอะไรเราบ้างมั้ยครับ

มันสอนว่า ว่าเราเนี่ยรักเราที่สุดละ ผมนี่รักผมที่สุดละ เพราะว่าในช่วงนั้นมันเป็นช่วงที่เหมือนผมสู้อยู่ข้างในคนเดียว ทุกคนเค้าก็ไม่รู้ว่าเราเป็นอะไรขนาดนั้นหรอแต่ข้างในเราหนักมากเหมือนเราก็พยายามสู้เพื่อตัวเอง สู้เพราะเราอยากจะรู้ด้วยว่าเราเป็นอะไรวะ เราต้องการที่จะรู้ความรู้อันนั้นมันเป็นความรู้ที่ผมต้องรู้ให้ได้ว่าร่างกายผมมันผิดปกติ

ตอนที่คุณมีอาการนี้เวลาเพื่อนจะมาปลอบหรือให้กำลังใจ คำพูดแบบไหนที่คนที่เป็นอยากได้ยินหรือคำพูดแบบไหนที่มันไม่ได้ผลอย่าใช้เลย

คำว่าสู้ ๆ  ไม่ดีเท่าไหร่ฮะ มันเหมือนพูดไปยังงั้น กูสู้อยู่แล้ว กูสู้สุด ๆ อันนี้ที่ผมรู้สึกได้ อันอื่นก็ยังไม่รู้สึกเท่าไหร่

ความสำเร็จของคุณมันมาเร็วมากและใช้เวลาแค่ไม่กี่ปี ความสำเร็จที่เข้ามาอย่างรวดเร็วมันส่งผลดีร้ายอย่างไรต่อชีวิตคุณบ้าง

ผมคิดว่ามันไม่ได้ดีและก็ไม่ได้ร้าย เหมือนชีวิตคนคนนึง การที่เราเป็นศิลปินมันก็ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไปขนาดนั้น ไม่ได้มีแต่เรื่องดี ๆ หรือเพอร์เฟกต์อะไรขนาดนั้น มันก็คือชีวิตปกติมันกลมกล่อม มีเรื่องไม่ดีเข้ามาเพื่อให้เราเรียนรู้และทำให้เป็นเรื่องที่ดี จุดสิ้นสุดคือจุดเริ่มต้นและมันก็จะวนลูปไปแบบนี้

BEING YOUNGOHM ความเป็น…ยังโอม

มาถึงตอนนี้ถ้าคุณไม่ตัดสินใจเลิกเรียน ณ ตอนนั้น คุณน่าจะรับปริญญาแล้ว ณ วันนี้ ย้อนกลับไปได้จะตัดสินใจแบบเดิมมั้ย

เหมือนเดิมทุกอย่างครับ

มีความคิดมั้ยว่าถ้างานเริ่มอยู่ตัวอยากจะกลับไปเรียนมั้ย

ไม่เลย คือผมเรียนอยู่ทุกวันอยู่แล้ว

เข้าใจแล้วว่าทำไมมหาวิทยาลัยเริ่มหานักเรียนยากขึ้นทุกวัน เหมือนคนรุ่นใหม่หลายคนจะคิดแบบนี้

หรือไม่ก็ผมนี่แหละทำให้หลายคนคิดแบบนี้ (หัวเราะ)

ในฐานะคนที่ผ่านเรื่องจะคิดฆ่าตัวตายมาแล้ว คุณรู้สึกได้มั้ยว่าอะไรคือเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต

สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต อันดับแรกเลยผมว่าก็เป็นตัวผมเอง อันดับแรกเราต้องดูแลตัวเองก่อนมันคือสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ตอนนี้ผมก็คิดหลาย ๆ เรื่องอย่างการออกกำลังกาย การนอน ผมพยายามนอนให้มัน 8 ชั่วโมง หมอก็บอกมาผมก็พยายาม ผมก็อยากตื่นขึ้นมาเฟรชด้วย

แล้วออกกำลังกายรึยัง

ตอนนี้ไม่ค่อย กำลังมองว่าถ้าต่อไปคงต้องมีแพลนมีวันสักอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง

Bangkok Legacy (บางกอก เลกาซี) อัลบั้มเต็มชุดแรกของยังโอม

หนึ่งในเพลงในอัลบั้มชื่อ ‘Satan I’m on the way’ เนื้อหามันพูดถึงเรื่องการขายวิญญาณให้ซาตานเลย คุณคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณขายรึยัง

สำหรับผม ผมว่าผมขายวิญญาณให้ซาตานไปแล้ว แต่ซาตานของผมมันไม่มีรูปร่าง ลัทธิซาตานของผมคือการที่แบบเราทุ่มอะไรสักอย่างให้บางสิ่งทั้งหมด ถวายให้มัน บูชามันแค่นั้นเลยสำหรับผมคือการขายวิญญาณละ ผมไม่พูดถึงเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรืออะไรแบบนั้น ผมไม่เคยเห็นและผมคิดว่าไม่มีหรอก ผมขายวิญญาณให้เพลงให้ดนตรี

เคยมีคนบอกว่าการขายวิญญาณให้ซาตานมันจะประสบความสำเร็จเร็วมากและมันจะมาเอาคืนนะ เคยกลัวมั้ย นี่ไงไบโพลาร์ไงซาตานอาจจะมาเคาะประตูถามหาแล้วนะ

มีอะไรเด็ดกว่านี้ป่ะ ! (หัวเราะ)

กลัวขาลงมั้ย

ผมเชื่อในเรื่องของผลงานนะ ผมเชื่อว่าทุกอย่างของผมมันมาจากผลงาน ตราบใดที่ผมยังทำผลงานได้อยู่ผมก็ไม่กลัว ผมก็ปล่อยด้วยไม่ได้ไปคิดมากอะไรด้วยซ้ำ ผมมีแพลนบี ผมมีแพลนซี ลงหรือขึ้นผมก็แค่ทำเพลงของผมไปก็เท่านั้นเอง ถ้าวันนั้นคนไม่ฟังผมก็ทำอย่างอื่น ไม่ต้องคิดอะไรมากชีวิต อย่าไปยึดติด (หัวเราะ)

คุณตั้งเป้าหมายเกี่ยวกับการเป็นศิลปินเอาไว้ยังไงครับ

ยังไม่ได้มองขนาดนั้นครับ แต่ผมเริ่มทำอัลบั้ม 2 ละ น่าจะอัดไปได้ 3-4 เพลงละ

อยากเป็นศิลปินระดับโลกมั้ย

ไม่ได้อยากเป็นระดับโลก แต่อยากร่วมงานกับคนระดับโลกอยู่ ถ้าเป็นระดับโลกผมรู้สึกว่ามันเหนื่อย

ไหนบอกว่าขายวิญญาณให้ซาตานแล้วไงทำไมกลัวเหนื่อย

นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการไง ผมขายแค่ให้สิ่งที่ผมต้องการอย่างเดียว ผมรู้ว่าผมต้องการอะไรแล้วผมก็จะเอามาให้ได้ แต่สิ่งที่ผมไม่ต้องการผมไม่สน

“สำหรับผม ผมว่าผมขายวิญญาณให้ซาตานไปแล้ว แต่ซาตานของผมมันไม่มีรูปร่าง ลัทธิซาตานของผมคือการที่แบบเราทุ่มอะไรสักอย่างให้บางสิ่งทั้งหมด ถวายให้มัน บูชามันแค่นั้นเลยสำหรับผมคือการขายวิญญาณละ”

จริงหรอคุณไม่อยากเป็นศิลปินระดับโลกหรอ

ผมว่าเอาประเทศไทยให้ดีก่อนดีกว่าพี่ เอาให้เฟี้ยวก่อน ผมจะอยู่ทำให้มันดีขึ้น ผมจะพยายามอยาดให้ที่นี่มันดีกว่าเดิม ไม่ต้องไปไกลไหนหรอกอยู่นี่ก่อน ผมอยากเห็นเด็ก ๆ ไปมากกว่าเพราะว่าเด็ก ๆ เก่งกว่าผมเยอะ

แล้วศิลปินระดับโลกที่คุณอยากร่วมงานด้วย จัสติน บีเบอร์มั้ย

จัสตินหรอ จัสตินคงไม่ใช่ทางละ คงไม่เอาละ

ไม่ใช่ผมไม่เอาเค้า แต่เค้าไม่เอาผม (หัวเราะ)

คุณเขียนเพลงรักเยอะเหมือนกัน แล้วก็หลายแง่มุมด้วยมีมุมมองต่อความรักอย่างไรบ้าง

ถ้าเรื่องแฟนสำหรับผมตอนนี้คือไร้สาระ สำหรับตัวผมนะไม่ใช่ทุกคน คือผมรู้สึกว่าผมเข้ากับคนยากมากคนที่จะอยู่กับตลอดเวลาข้างกายจริง ๆ ผมค่อนข้างจะเป็นคนที่มีความคิดแบบยังไงไม่รู้อ่ะ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าใครจะตามผมทันมั้ย ประสบการณ์ที่ผ่านมาก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเวิร์กกับการมีแฟนเท่าไหร่ ตอนนี้ทำงานและอยู่กับเพื่อนแค่นี้ก็โอเค กับสาวก็ไม่ค่อยไปซีเรียสกับมัน ปล่อยชิลไปเรื่อย ๆ

แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดวางแผนว่าชีวิตนี้จะไม่มีครอบครัว

เคยคิด แต่รู้สึกว่าปล่อยให้มันไปดีกว่า ไม่รู้ว่าลมจะพัดพาอะไรเข้ามา ตอนนี้แค่อยากโฟกัสแค่นี้ก่อน ปวดหัวจะตายแล้วแค่นี้

อยากมีลูกมั้ย

อยากมากพี่ ผมอยากเลี้ยงเด็กมาก ผมชอบเด็กมาก ๆ เด็กตัวเล็ก ๆ อยากเล่น

อยากมีลูกสาวหรือลูกชาย

ลูกสาวครับ ชอบเด็กผู้หญิง

นี่ไงมันต้องเริ่มจากมีเมียก่อนถึงจะมีลูกได้

นี่แหละยากเลย

เป็นกำลังใจให้ (หัวเราะ)

จากทั้งหมดที่ผ่านมาในชีวิตการทำงานของคุณ ถือว่าเป็นเวลาที่สั้นมากแต่ก็ผ่านอะไรมาไม่น้อย คุณว่าอะไรคือบทเรียนที่สำคัญที่สุด

น่าจะเป็นเรื่องการใช้โซเชียลนะพี่ เมื่อก่อนผมเป็นคนที่ชอบโพสต์อะไรแย่ ๆลงไปแล้วสุดท้ายสิ่งแย่ๆ มันก็กลับมาหาตัวผมเอง ผมด่าใครเค้าก็กลับมาด่ามันก็ไม่สิ้นสุดสักที ผมเลิกที่จะด่าใครหรือเหน็บใคร ผมจะด่าใครก็ต่อเมื่อมีคนมาเปิดผมก่อนเท่านั้นเอง แต่ผมจะไม่พยายามไปโพสต์ถึงใครหรือโพสต์อะไรแย่ ๆ ลงไป อะไรที่มัน toxic ผมพยายามจะให้อะไรที่มัน positive ลงไป จริง ๆ ในโซเชียลมันก็มีอะไรแย่ๆ  เยอะอยู่แล้ว จนผมปวดหัว มาอ่านเรื่องเครียด ๆ เยอะ ๆ บางทีมันก็ไม่ดี

“การที่เราเป็นศิลปินมันก็ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไปขนาดนั้น ไม่ได้มีแต่เรื่องดี ๆ หรือเพอร์เฟกต์อะไรขนาดนั้น มันก็คือชีวิตปกติมันกลมกล่อม มีเรื่องไม่ดีเข้ามาเพื่อให้เราเรียนรู้และทำให้เป็นเรื่องที่ดี จุดสิ้นสุดคือจุดเริ่มต้นและมันก็จะวนลูปไปแบบนี้”

ข้อสุดท้ายแล้ว ข้อนี้ถามก็ไม่ได้ครับ คุณแสดงจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจนมาก ทำไมถึงตัดสินใจแบบนี้ กลัวผลกระทบที่จะตามมามั้ย

ถามว่ากลัวผลกระทบมั้ย คือถ้าผมมองแค่ตัวผมเองผมไม่กลัวหรอก ผมรู้สึกว่าผมทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่แต่ผมอาจจะเป็นห่วงคนอื่นอยู่นิดหน่อย แต่ผมอยากให้ประเทศนี้มันเป็น free speech ที่เราสามารถพูดกันได้ตรง ๆ สามารถติกันได้ และอีกหลาย ๆ เรื่องที่ผมคิดว่าเราไปได้ไกลกว่านี้ เราทำได้ดีกว่านี้ ไม่ว่าจะเรื่องของงานศิลปะหรือเรื่องอื่นๆ  เยอะมาก ผมไม่ได้คิดถึงตัวผมนะ ผมคิดถึงคนอื่น และผมรู้สึกว่าหลายคนหรือเพื่อนผมที่เดือดร้อนมันมีจริง ๆ และผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องผิดที่ออกมาพูด การเมืองมันเป็นเรื่องของเราอ่ะครับ เราเป็นประชาชนยังไงมันก็เกี่ยวกับการเมืองอยู่แล้ว ผมคิดว่าเรามีสิทธิพูดอยู่แล้วว่าเราไม่โอเคตรงไหน มันเป็นประชาธิปไตยมันน่าจะพูดได้

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส