เรื่องราวกำลังเข้มข้นและใกล้จะถึงตอนจบเข้าไปทุกทีสำหรับ ‘Hawkeye’ ซีรีส์ฮีโรมือธนูที่มีศูนย์กลางอยู่ที่คลินต์ บาร์ตัน หรือ ฮอว์คอาย แห่งทีมอเวนเจอร์สที่นำแสดงโดย เจเรมี เรนเนอร์ (Jeremy Renner) กับเคต บิชอปที่ได้สาวสวยอย่าง เฮลีย์ สไตน์เฟลด์ (hailee steinfeld) ที่หลายคนอาจรู้สึกว่าคุ้น ๆ หน้ามาจากผลงานหนังเรื่องใดเรื่องหนึ่ง Beartai Buzz ขอพาทุกคนไปรู้จักเธอให้มากขึ้น
กำเนิดนักแสดงสาวกับหลากหลายเชื้อชาติและศาสนา
เฮลีย์ สไตน์เฟลด์เกิดวันที่ 11 ธันวาคมปี 1996 ที่ทาร์ซานา (Tarzana) ติดกับลอสแองเจลลิส แคลิฟอร์เนีย พ่อของเธอคือ ปีเตอร์ สไตน์เฟลด์ (Peter Steinfeld) เป็นชาวยิวและมีพี่ชายคือ เจค สไตน์เฟลด์ (Jake Steinfeld) ลุงของเธอที่เป็นทั้งนักแสดงและฟิตเนสเทรนเนอร์ ส่วนแม่ของเธอ เชอรี สไตน์เฟลด์ (Cheri Steinfeld) เป็นชาวคริสเตียนลูกสาวของ ริคาร์โด โดมาซิน (Ricardo Domasin) โดยคุณตาของเฮลีย์เป็นชาวฟิลิปปินส์ที่มีเชื้อสายแอฟริกัน อเมริกันอีกด้วย
และแม้ว่าจะมีลุงเป็นนักแสดงอยู่แล้ว แต่คนที่ถือเป็นแรงบันดาลใจให้เฮลีย์ของเราอยากเป็นนักแสดงคือ ทรู โอ ไบรอัน (True O’Brien) ลูกพี่ลูกน้องของคุณแม่ที่ปรากฎตัวในโฆษณาทีวีตอนเธออายุได้ 8 ปี ในวัยเด็กเธอเข้าเรียนที่โรงเรียนของโบสถ์แอสเซนชัน ลูเธอราน (Ascension Lutheran School) ในเมืองเธาซานด์โอ๊คส์ (Thousand Oaks) แคลิฟอร์เนีย ก่อนไปต่อมัธยมที่โรงเรียนมัธยมโคเนโจ (Conejo Elementary) ในเมืองเดียวกันและย้ายไปโคลินา มิดเดิล สคูล (Colina Middle School) ในแคลิฟอร์เนียก่อนจะเรียนโฮมสคูลตั้งแต่ปี 2008 – 2015
เริ่มต้นอาชีพนักแสดงออกตัวแรงกับการเข้าชิงออสการ์
เฮลีย์ สไตน์เฟลด์ในวัย 10 ปีปรากฎตัวใน ‘She’s a Fox’ หนังสั้นปี 2009 ที่เดินสายตามเทศกาลต่าง ๆ เป็นว่าเล่นก่อนจะระเบิดฝีมือในบท แมตตี รอสส์ เด็กสาวใจเพชรที่ขอติดสอยคาวบอยสุดเก๋าเพื่อทวงความยุติธรรมให้พ่อแม่ของเธอใน ‘True Grit’ ฉบับสร้างและตีความใหม่โดยสองพี่น้องผู้กำกับ โจเอลและอีธาน โคเอน (Joel and Ethan Coen) และทันทีที่หนังออกฉายในปี 2010 ที่นอกจากจะครองตำแหน่งหนังยาวเรื่องแรกของเธอแล้วมันยังส่งให้ชื่อสไตน์เฟลด์ไปเข้าชิงในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ และแม้จะพลาดรางวัลแต่อานิสงส์ของฝีมือการแสดงก็ทำให้เธอได้รับเลือกจากแบรนด์ มิว มิว (Miu Miu) ให้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์หน้าใหม่ (Muse)
จากออสการ์ปูทางสู่โอกาสใหม่ ๆ
แน่นอนว่าผลจากการเข้าชิงออสการ์ทำให้ประตูแห่งโอกาสเปิดให้สไตน์เฟลด์ได้ปรากฎตัวในหนังฟอร์มยักษ์อย่าง ‘Ender’s Game’ ในบท เพตรา อาร์คาเนียนคู่กับ เอซา บัตเตอร์ฟิลด์ (Asa Butterfield) ออกฉายปลายปี 2013 หลังหนัง ‘Romeo & Juliet’ ที่ฉายไปก่อนหน้านี้ปีเดียวกันของเธอจะล้มเหลวทั้งรายได้และคำวิจารณ์โดยสิ้นเชิงก็ตาม
และต่อมาในปี 2014 สไตน์เฟลด์ก็แอบเนียนมาขโมยหัวใจหนุ่ม ๆ จากบทไวโอเล็ตลูกสาวโปรดิวเซอร์ที่กำลังเสียสูญใน ‘Begin Again’ ซึ่งเราเริ่มเห็นภาพของเธอในฐานะนักดนตรีเป็นครั้งแรกบนจอใหญ่ ก่อนที่ปี 2015 จะได้โชว์พลังเสียงร่วมจอกับเหล่าสาว ๆ บาร์เดนเบลลาใน ‘Pitch Perfect 2’ และ ‘Pitch Perfect 3’ ที่ทำให้ทุกคนได้เห็นความสามารถในการร้องเพลงของเธออย่างชัดเจนขึ้น ก่อนจะได้เยือนเวทีรางวัลอีกครั้งในปี 2016 ที่ผลงาน ‘The Edge of Seventeen’ ส่งชื่อของสไตน์เฟลด์เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำหญิง
สู่ขวัญใจแฟนบอยในหนังและซีรีส์ฟอร์มยักษ์
เราอาจกล่าวได้ว่าแม้สไตน์เฟลด์จะล้มลุกคลุกคลานมีหนังที่แป้กบ้างทั้ง ‘3 Days to Kill’ หรือ ‘Barely Lethal’ แต่ผลจากความพยายามของเธอที่ไม่หยุดพัฒนาฝีมือก็ส่งผลให้มีงานที่น่าสนใจโดยเฉพาะการปรากฎทั้งเสียงและปรากฎตัวในหนังจากแฟรนไชส์ดังโดยเฉพาะในปี 2018 ที่โลกได้รู้จักกับสาวน้อยจอมแก่นผู้ค้นพบมิตรภาพจากหุ่นยนต์รถเต่าสีเหลืองใน ‘Bumblebee’ ที่ช่วยชุบชีวิตและทำให้หนังตระกูล ‘Transformers’ กลับมามีความหวังอีกครั้ง และยังได้พากย์เสียง เกวน สเตซีในแอนิเมชัน ‘Spider-Man: Into the SpiderVerse’ ของค่ายโซนีอีกด้วย
และล่าสุดแฟนมาร์เวลก็ได้ตกหลุมรักเธออีกครั้งในซีรีส์ ‘Hawkeye’ ที่กำลังสตรีมมิงทางดิสนีย์พลัส (Disney+) ที่เธอรับบทเคต บิชอป ลูกสาวเศรษฐีกำพร้าพ่อที่ได้โอกาสร่วมภารกิจกับฮอว์คอายซูเปอร์ฮีโรในดวงใจของเธอ และใครคิดถึงเสียงพากย์ของเธอก็ยังมี ‘Arcane’ แอนิเมชันซีรีส์จากเกม ‘League of Legends’ ที่สตรีมทางเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ให้หายคิดถึงอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีโปรเจกต์ภาคต่อของแอนิเมชันไอ้แมงมุมอีก 2 ภาคใน ‘Spider-Man : Across the Spider-Verse’ ที่เธอจะกลับมาให้เสียงสวย ๆ ของเกวน สเตซีหรือสไปเดอร์เกว็นอีกครั้ง
ไม่ใช่แค่งานหนังแต่งานเพลงก็เด่นไม่แพ้กัน
เรียกได้ว่าอานิสงส์จากเพลง ‘Flashlight’ ที่เธอร้องประกอบหนัง ‘Pitch Perfect 2’ ทำให้เสียงของเธอไปโดนใจผู้บริหารค่ายเพลง รีพับบลิค เรคคอร์ดส์ (Republic Records) จนได้ทำงานเพลงร่วมกันประเดิมด้วยซิงเกิลแรกอย่าง ‘Love Myself’ ในปี 2015 และได้ร่วมฟีเจอริงกับ โจ โจนาสแห่งวงดีเอนซีอี (DNCE) ในเพลง ‘Rock Bottom’ แต่มาประสบความสำเร็จจริง ๆ กับซิงเกิล ‘Starving’ ที่เธอร่วมงานกับเกรย์ (Grey) และฟีเจอร์ริงกับเซ็ดด์ (Zedd) ที่ฮิตระดับได้รางวัลแพลตินัมทั้งในอิตาลี อังกฤษ นิวซีแลนด์ สวีเดน สหรัฐอเมริกา
ในปี 2017 เธอส่งซิงเกิล ‘Most Girls’ ขึ้นสู่อันดับ 58 บนตารางเพลงฮิตบิลบอร์ดท็อปฮันเดรด (Billboard Top 100) และซิงเกิล ‘Let Me Go’ ติดอันดับ 14 บนชาร์ตเมนสตรีมท็อปโฟร์ตี (Mainstream Top 40) และในปี 2018 เธอยังได้ร้องเพลงประกอบหนัง ‘Fifty Shades Freed’ และ ‘Bumblebee’ อีกด้วย ทำให้ปัจจุบันสไตน์เฟลด์ไม่ได้เป็นแค่นักแสดงมากฝีมือเท่านั้นแต่ยังเป็นนักร้องอาชีพดาวรุ่งที่มีแฟนคลับติดตามมากมาย
นอกจากงานเพลงและงานพากย์แอนิเมชันแล้วเสียงของเฮลีย์ สไตน์เฟลด์ยังได้ถ่ายทอดเรื่องราวอันแสนเศร้าของแอนน์ แฟรงค์ (Anne Frank) ที่พิพิทธภัณฑ์ ‘The Museum of Tolerance-Beit HaShoah’ ที่แคลิฟอร์เนียร์อีกด้วย
ชีวิตรักพัง ๆ และความหวังของหนุ่ม ๆ อย่างเรา
สำหรับเรื่องหัวใจของสาวสไตน์เฟลด์ก็ไม่ได้หวือหวาสักเท่าไหร่ในปี 2016 เธอเดตกับแคเมรอน สโมลเลอร์ (Cameron Smoller) หนุ่มหล่อบนอินสตาแกรมและพาไปเปิดตัวที่งานประกาศผลรางวัลลูกโลกทองคำต้นปี 2017 ที่สไตน์เฟลด์ได้เข้าชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก ‘The Edge of Seventeen’ แต่แล้วกองแช่งก็ทำสำเร็จทั้งเรื่องรางวัลและหักสวาทเพราะทั้งคู่ก็เลิกกันในเดือนพฤศจิกายนทันที เรียกได้ว่ารางวัลก็ไม่ได้แถมหัวใจยังปวดร้าวอีก
ต่อมาสไตน์เฟลด์พบรักใหม่ในเดือนธันวาคมปี 2017 (อะไรจะไวปานน้าน) โดยคราวนี้หันมาเดต ไนอาล โฮราน (Niall Horan) นักร้องชาวไอริชที่ครองรักกันได้ 1 ปีทั้งคู่ก็เลิกรากันในเดือนธันวาคมปี 2018 แต่นั่นก็หมายความว่าเราจะได้จบบทความด้วยประโยคใจความสำคัญที่ต้องล้อมกรอบว่า…..
น้องเฮลีย์ สไตน์เฟลด์ โสดนะจ๊ะ
อ้างอิง
รูปภาพ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส