ตลอดระยะเวลา 31 ปีในวงการ นับว่า เควนทิน ทาแรนทิโน (Quentin Tarantino) เป็นผู้กำกับที่อยู่ในระดับต้น ๆ ของฮอลลีวูด ผลงานกำกับ 9 เรื่องของเขา ประสบความสำเร็จทั้งด้านเสียงตอบรับจากนักวิจารณ์และรางวัลมากมาย หนัง 7 เรื่องทำรายได้เกิน 100 ล้านเหรียญ เข้าชิงออสการ์สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมมาแล้ว 3 ครั้ง และเป็นเจ้าของออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมาแล้ว 2 ครั้ง ด้วยงานที่มีเอกลักษณ์ในความโหด ดิบ เถื่อน ทาแรนทิโนจึงมีแฟนคลับทั่วโลกเหนียวแน่น เฝ้าคอยผลงานใหม่ ๆ ของเขาอยู่เสมอ แต่แล้วทาแรนทิโนก็ออกมาประกาศข่าวร้ายกับแฟน ๆ ว่าเขาจะกำกับหนังเพียงแค่ 10 เรื่อง ซึ่งเขานับรวม Kill Bill ทั้ง 2 ภาคเป็น 1 เรื่อง นั่นหมายความว่า ผลงานกำกับเรื่องต่อไปของเขาจะเป็นผลงานเรื่องที่ 10 และจะเป็นงานกำกับครั้งสุดท้ายของเขา ทำไมทาแรนทิโนถึงต้องการยุติบทบาทของเขาเพียงเท่านี้ และนี่คือเหตุผลต่าง ๆ ที่เรารวบรวมได้จากหลาย ๆ บทสัมภาษณ์ของเขาในช่วงหลังนี้

ต้องการฝากผลงานชิ้นสุดท้ายให้เป็นมาสเตอร์พีซ

บิล มาเฮอร์ และ เควนทิน ทาแรนทิโน

เมื่อเดือนมิถุนายน 2021 ทาแรนทิโนได้ให้สัมภาษณ์กับ บิล มาเฮอร์ (Bill Maher) ในรายการ “Real Time with Bill Maher” ในวันนั้นเขาได้ประกาศต่อสาธารณชนว่าเขาจะเกษียณจากตำแหน่งหน้าที่ผู้กำกับ และผลงานเรื่องต่อไปของเขาหลังจาก ‘Once Upon a Time in Hollywood’ก็จะเป็นงานกำกับเรื่องสุดท้ายของเขา หลังทาแรนทิโนประกาศออกไป ก็ทำเอาแฟน ๆ ต่างเสียดายและเสียใจที่จะได้เห็นผลงานของผู้กำกับคนโปรดอีกเพียงแค่เรื่องเดียว แต่ถึงกระนั้น แฟน ๆ ต่างก็คาดเดากันไปมากมายว่า ในที่สุดแล้ว ทาแรนทิโนจะเลือกเรื่องใดมาเป็นงานสุดท้ายของเขา แลเรื่องที่แฟน ๆ ส่งเสียงเชียร์กันมากที่สุดก็คือ Kill Bill: Vol. 3

Reservoir Dogs (1992) งานกำกับเรื่องแรก ที่เขาร่วมแสดงด้วย

ส่วนตัวทาแรนทิโนเองนั้น ก็มีเปรย ๆ กับ บิล มาเฮอร์ ไว้ด้วยในระหว่างการให้สัมภาษณ์ครั้งนั้น ว่าเขากำลังใคร่ครวญอยู่ว่า อาจจะหยิบ ‘Reservoir Dogs’ ผลงานกำกับเรื่องแรกของเขาในฮอลลีวูดเมื่อปี 1992 ก็รีเมกใหม่อีกครั้ง แต่พอมีนักข่าวและแฟน ๆ ไปถามย้ำเขากันมากขึ้น ว่ายืนยันไหมว่าจะรีเมก Reservoir Dogs ทาแรนทิโนก็แก้ข่าวที่ตัวเองพูดไปว่า “ผมยังไม่เลือกเรื่องนี้หรอก ผมแค่หยิบมาพิจารณาแค่นั้น”

อีกครั้งหนึ่ง ทาแรนทิโนไปให้สัมภาษณ์กับ เอลวิส มิตเชลล์ (Elvis Mitchell) นักวิจารณ์ภาพยนตร์ชื่อดัง ซึ่งเขาก็ได้พูดถึงผลงานกำกับเรื่องสุดท้ายของเขาไว้ว่า เขากำลังสนใจจะดัดแปลง ‘Stick’ นิยายปี 1983 ของ เอลมอร์ เลียวนาร์ด (Elmore Leonard)มาเป็นภาพยนตร์ เพราะสำหรับทาแรนทิโนแล้วก็คุ้นเคยกับนิยายของเลียวนาร์ดดี เพราะ ‘Jackie Brown’ผลงานกำกับเรื่องที่ 3 ของเขา ก็ดัดแปลงมาจาก ‘Rum Punch’ นิยายอีกเรื่องของเลียวนาร์ดเช่นกัน แต่ก็เป็นแค่อีกหนึ่งทางเลือกของเขาเท่านั้น เพราะอีกใจหนึ่ง ทาแรนทิโนก็อยากให้ผลงานกำกับเรื่องสุดท้ายเป็นงานที่เขาเขียนเรื่องเอง ครั้งหนึ่งเขาก็เคยเปรย ๆ ว่าอยากจะลองท้าทายตัวเองด้วยการกำกับหนังสยองขวัญดูบ้างถ้าเขาสามารถคิดเรื่องเจ๋ง ๆ ขึ้นมาได้ แม้ว่าขณะนี้ แฟน ๆ ทั่วโลกต่างจับจ้องกันอยู่ว่า สุดท้ายแล้วทาแรนทิโนจะเลือกทำเรื่องอะไรเป็นผลงานเรื่องสุดท้าย แต่อย่างที่กล่าวไปว่า เขาตั้งใจให้งานทิ้งทวนของเขาเป็นมาสเตอร์พีซที่โลกต้องจดจำ ฉะนั้นเขาจะไม่รีบร้อนตัดสินใจ นั่นแปลว่าไม่มีใครรู้ว่าผลงานชิ้นสุดท้ายของเขานี้จะเริ่มต้นขึ้นเมื่อใด

ต้องการวางมือในขณะที่อยู่ในจุดสูงสุด

คลินต์ อีสต์วูด และ ดอน ซีเกล ใน Escape From Alcatraz (1979)

ในระหว่างที่พูดคุยกับ บิล มาเฮอร์ ในระหว่างสัมภาษณ์นั้น ผู้สัมภาษณ์ก็ได้ยิงคำถามแทนใจผู้ชมออกมาว่า
“คุณยังหนุ่มเกินไปที่จะหยุดนะ แล้วตอนนี้คุณอยู่ในจุดสูงสุดของสายอาชีพคุณแล้วด้วย”
ซึ่งทาแรนทิโนก็ตอบกลับมาทันทีว่า
“ก็นั่นละครับเหตุผลที่ผมต้องการหยุด ส่วนหนึ่งก็เพราะผมศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์ภาพยนตร์มาเยอะ แล้วก็พบว่าจากจุดนี้ไปในฐานะผู้กำกับไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว ก็จริงที่ว่าตลอด 30 ปีมานี่ ผมก็ไม่ได้สร้างหนังได้เยอะเท่ากับผู้กำกับคนอื่น ๆ แต่แค่นี้ผมก็มองว่ามันเป็นเส้นทางอาชีพที่ยาวนานมาก ยาวนานจริง ๆ แล้วผมก็ได้มอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมสามารถทำได้ไปหมดแล้ว”
ทาแรนทิโนยังหยิบยกตัวอย่าง ดอน ซีเกล (Don Siegel) ผู้กำกับระดับตำนานของฮอลลีวูด ที่มีผลงานอมตะอย่าง Dirty Harry แต่จบเส้นทางอาชีพผู้กำกับของตัวเองได้ไม่สวยนัก
“ถ้าเขาหยุดกำกับเสียตั้งแต่ Escape from Alcatraz ในปี 1979 มันจะเป็นผลงานสุดท้ายที่เยี่ยมยอดมาก”
(ดอน ซีเกล กำกับ ‘Jinxed!’ ในปี 1982 เป็นเรื่องสุดท้าย หนังล้มเหลวทั้งเสียงวิจารณ์และรายได้ เป็นการปิดฉากเส้นทางอาชีพผู้กำกับที่ไม่น่าจดจำ)

ระหว่างให้สัมภาษณ์กับ คริส วอลเลซ

ไม่นานมานี้ ทาแรนทิโนไปให้สัมภาษณ์กับ คริส วอลเลซ (Chris Wallace) ทางสถานี CNN ซึ่งก็มีเนื้อหาตอนหนึ่งพูดคุยกันถึงผลงานกำกับเรื่องสุดท้ายของเขา
“คือแบบว่า ผมก็ทำตรงนี้มานานมากแล้วนะ ผมทำมันมา 30 ปีแล้ว ผมว่ามันถึงเวลาที่จะปิดฉากได้แล้ว อย่างที่ผมเคยพูดไปก่อนหน้านี้ว่า ผมก็เป็นเอนเตอร์เทนเนอร์คนหนึ่ง ผมก็อยากจะหยุดงานไปในขณะที่คนยังต้องการดูงานของผมอยู่ ผมไม่อยากทำงานออกมาแล้วแบบว่าไม่ค่อยมีใครอยากมาดูแล้วแบบนั้น ผมไม่อยากเป็นคนที่……ไม่อยากเป็นคนแก่หงำเหงือกที่ตามโลกปัจจุบันไม่ทัน ถึงตอนนี้ผมก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะเป็นแบบนั้นแล้วถ้าพูดถึงหนังใหม่ ๆ ที่ออกมาตอนนี้อ่ะนะ และนั่นคือสิ่งที่เริ่มเกิดขึ้นกับผมแล้ว”

ยุติบทบาทหนึ่งเพื่อเริ่มบทบาทใหม่

Cinema Speculation ผลงานเขียนหนังสือเล่มแรกของ เควนทิน ทาแรนทิโน

บางทีการที่ทาแรนทิโนหยุดบทบาทตัวเองในฐานะผู้กำกับ นั่นไม่ได้หมายความว่าเขายุติบทบาทตัวเองทั้งหมดในโลกภาพยนตร์ ที่จริงแล้วการที่เขาปลดพันธะตัวเองจากตำแหน่งผู้กำกับ นั่นอาจหมายถึงการทำให้เขามีอิสระในการทำโปรเจกต์ต่าง ๆ ที่เขาสนใจมานานแล้วก็เป็นได้ อย่างเช่นงานเขียนหนังสือ เพราะเมื่อพฤศจิกายน 2022 ทาแรนทิโนก็เพิ่งออกหนังสือชื่อ ‘Cinema Speculation’ ซึ่งเขานำบทวิจารณ์ภาพยนตร์ต่าง ๆ มาผสมผสานเข้ากับเรื่องราวชีวิตของตัวเอง ในรูปแบบภาษาที่เป็นสไตล์ส่วนตัวของเขา นับเป็นหนังสือเล่มแรกที่เป็นงานเขียนหนังสือจริง ๆ ของเขา เพราะก่อนหน้านี้ล้วนเป็นผลงานเขียนบทภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ ของเขาที่นำมาตีพิมพ์เป็นหนังสือ

ทาแรนทิโนยังได้รับเครดิตว่าเป็นกำลังสำคัญที่ผลักดันให้เกิด ทีวีซีรีส์ ‘Justified: City Primeval’ ที่ได้ ทิโมธี โอลีแฟนต์ (Timothy Olyphant) เป็นผู้อำนวยการสร้างและแสดงนำ เพราะย้อนกลับไปในช่วงที่โอลีแฟนต์ กำลังถ่ายทำ ‘Once Upon a Time in Hollywood’ อยู่กับทาแรนทิโนนั้น ทั้งคู่ได้พูดคุยกันว่านิยายชุด ‘City Primeval’ ของ เอลมอร์ เลียวนาร์ด นั้นมีเนื้อหาที่เหมาะนำมาเล่าเรื่องเป็นทีวีซีรีส์ ช่วงหนึ่งยังมีข่าวว่า ทาแรนทิโนจะไปกำกับบางตอนให้ซีรีส์ชุดนี้ด้วย แต่สุดท้ายทาแรนทิโนก็ไม่ได้มีชื่อเกี่ยวข้องเป็นทางการในซีรีส์ชุดนี้

แต่เราก็เชื่อแน่ว่า ด้วยพลัง ความสามารถและความสร้างสรรค์ของผู้กำกับที่ชื่อ เควนทิน ทาแรนทิโน นั้น แม้เขาจะหยุดงานกำกับภาพยนตร์ไป แต่เขาก็น่าจะมีบทบาทในงานเบื้องหลังอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต และไม่ว่าผลงานเรื่องใดที่มีชื่อของเขาเกี่ยวข้อง ก็ย่อมได้รับความสนใจและการต้อนรับอย่างดีจากแฟน ๆ ที่รักและติดตามผลงานของเขาเสมอมา

ที่มา