หากกราฟชีวิตของ เบน แอฟเฟล็ค จะกลับมาพุ่งทะยานเป็นที่จดจำอีกครั้งในวัย 30 ปลายกับ Argo ที่ประสบความสำเร็จทั้งเงินทั้งกล่อง ในสภาพ ‘ม้านอกสายตา’ หนังฟอร์มเล็กทุนนิดหน่อยที่ไปถึงออสการ์ ต่อยอดไปจนถึงภาพของ ‘แบ็ทเบน’ ที่เพิ่มจำนวนติ่ง-แม่ยกมากมาย แต่ในทางกลับกัน มันกลายเป็นโจทย์ที่ไม่ง่ายสำหรับ Live By Night ที่เรื่องนี้ เบน แอฟเฟล็ค มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความคาดหวัง’ ติดสอยห้อยมาบนบ่ามาด้วย

ในช่วงหลายปีหลังมานี้ ชื่อของเบน แอฟเฟล็ค ได้รับการจับตามองมากขึ้นในแง่ ‘คนทำหนัง’ ทั้งบทบาทกำกับและเขียนบทที่มีแววดีจาก performance ใน The Town (2010) และ Argo (2012) หนังที่มีชื่อของเขากำกับมักเล่นประเด็นปมความขัดแย้งต่างๆ ในสไตล์คนหัวก้าวหน้า ให้คนดูคิดต่อแบบมีชั้นเชิง ซึ่งเช่นกันกับใน Live By Night อีกหนึ่งงานที่แสดงให้เห็นว่าเขาโปรดปรานการยัดประเด็นหนักๆ มาใส่แบบนี้

Live By Night เป็นการดัดแปลงมาจากนิยายของ เดนิส เฮเลน ที่ขายดีจนถูกนำมาทำเป็นหนังแล้วรุ่งหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น Shutter Island, Mystic River หรือ Gone Baby Gone ซึ่ง Live By Night มันเล่าเรื่องราวในช่วงปี 1920-1933 ในสหรัฐอเมริกาที่อยู่ในยุคเคร่งครัดห้ามจำหน่ายและผลิตสุรา เป็นช่วงที่เกิดสงครามระหว่างมาเฟียมากมาย โดย โจ คัฟลิน (เบน แอฟเฟล็ค) นั้นหลังจากที่กลับมาจากรับใช้ชาติเป็นทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็กลับหันไปเอาดีกับเส้นทางสายมืดเป็นอาชญากรในแก๊งมาเฟียของ อัลเบิร์ต ไวท์ (โรเบิร์ต เกลนิสเตอร์) จนชีวิตพลิกผันจากการที่เขาถูกคนรักหักหลัง และนั่นทำให้ โจ เริ่มเปลี่ยนตัวเองและพยายามสร้างอำนาจให้ตัวเองขึ้นมาเป็นเจ้าพ่อมาเฟียในฟลอริดา

อันที่จริงต้องบอกว่า Live By Night มีองค์ประกอบส่วนใหญ่ของหนัง gangster ที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว ตั้งแต่ฉากแอ็คชันที่เข้มเข้นดุเดือด หนักหน่วง dialogue ที่คมคายมีชั้นเชิงในสไตล์หนังมาเฟียคลาสสิก ปมต่างๆ ที่ถูกสร้างไว้ทำได้น่าสนใจ พาร์ทดราม่าหนักๆ ย้อมด้วยกลิ่นหนังนัวร์ๆ รวมทั้งการถ่ายเทน้ำหนักของตัวละครโดยรวมก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่หนังทำได้ค่อนข้างดี การได้นักแสดงเจ๋งๆ ระดับคุณภาพมาร่วมงานคับคั่ง ทั้ง น้องเอลล์ แฟนนิ่ง, เซียนนา มิลเลอร์, คริส คูเปอร์, โซอี้ ซัลนาดา และ สก็อต อีสต์วู้ด ก็ทำให้รู้สึกได้ว่านักแสดงกลุ่มนี้เคมีเข้ากันไหลลื่นมาก แม้บางคนจะโผล่หน้ามาไม่กี่ฉาก แต่ก็มาเติมแต่งหนังให้มีสีสันและมิติมากขึ้นชัดเจน ทุกสิ่งอย่างเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ Live By Night สามารถกดดันคนดูได้ดีและมีไคลแม็กซ์ที่ไม่ขี้เหร่ บางช่วงดูไปก็นึกถึงงานเก่าๆ ของ ไมเคิล มานน์ อย่างพวก Public Enemy หรือว่า Heat เลย

อย่างไรก็ตาม Live By Night ยังขาดส่วนผสมบางอย่างที่สำคัญในการก้าวไปเป็นหนังมาเฟียที่จะไปนั่งในใจคนดูในกลุ่ม mass ได้ (ถ้าเอาบรรทัดฐานตรงนั้นมาตัดสิน) การเดินเรื่องที่นวยนาบในบางช่วงเพราะการพยายามปู background ของตัวละครและเจตนารมย์ของแก๊งค์มาเฟียมันอาจใช้พื้นที่และเวลามากไปหน่อย ตัวหนังมี potential ที่ดีแต่ขาดบางส่วนที่เป็นแรงกระตุ้น ขาดพลังผลักดันที่จะก้าวไปให้เกินกว่าหนัง gangster ทั่วไป ซึ่งแน่นอนว่าส่วนหนึ่ง performance ตัวละครหลักในเรื่องนี้อย่าง ป๋าเบน นั้นไม่โดดเด่นขนาดขับเคลื่อนหนังไปได้เอง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการที่เขาทำหน้าที่กำกับและเล่นเองนั้น ทำให้ตัวละครในบางช่วงของเขายามทอดอารมณ์มันหลุดไป แต่กับบทบาทของ โจ เขาทำได้เยี่ยมเรียกว่าเป็นคนที่เหมาะกับบทในควาบมาเฟียใส่สูทรุ่นใหญ่ที่มาพร้อมความเท่ขรึม มีความโหดเหี้ยมเย็นชาและความอ่อนโยนในคราวเดียวบนแววตาของเขา มันก็ทำให้เราเชื่อว่า โจ แม้จะมีความคับแค้นเก็บกดอยู่ข้างใน แต่ภายในใจนั้นลึกๆ ไม่ใช่คนร้ายกาจ แต่เป็นคนเทาๆ คนหนึ่งทีลึกๆ แล้วก็อยากหาจุดยึดมั่นดีๆ ในชีวิต ซึ่งเมสเซจในหนังก็พยายามทำให้เราเติบโตไปกับตัวละคร เพื่อก้าวผ่านและทำความเข้าใจว่า ชีวิตที่สั้นหรือยาวไม่จำเป็นเท่ากับตอนมีชีวิตอยู่นั้น เราสัมผัสถึงคุณค่าชีวิตอย่างไร

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ในช่วงปีที่ผ่านมากราฟชีวิตของ เบน แอฟเฟล็ค จะกลับมาเจอช่วงหน่วงๆ อีกหรือไม่ หากมองจากเสียงวิจารณ์กับ Batman Batman v Superman: Dawn of Justice หรือว่า The Accountant (ซึ่งเรื่องหลังส่วนตัวมองว่ายังโอเคอยู่) โดยเฉพาะเสียงวิจารณ์ในแง่มุมการแสดง เบน แอฟเฟล็ค ไม่ใช่คนที่จะเล่นใหญ่ พร่ำเพรื่อ แต่จุดที่มองเห็นคือ แคแร็คเตอร์ของเขาส่วนใหญ่เป็นตัวละครที่มีปม มีความเก็บกดภายในใจ ซึ่งเวลาแสดงออกนั้นอาจต้องมีความแข็งกร้าว ทื่อ จนคนดูกลุ่ม mass รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติบ้าง แต่ในอีกมุมมองหนึ่ง เขาดีไซน์ตัวละครออกมาแบบพอดี เล่นเท่าที่จำเป็น ใช้สายตามากกว่าท่าทาง มันเลยกลายเป็นเส้นแบ่งบางๆ ของตัวละครที่เป็นธรรมชาติและการเล่นแข็งไปนั่นเอง

 

Play video