เข้าสู่เดือนแห่งความรักที่มีวันที่ 14 กุมภาพันธ์-วันวาเลนไทน์แล้ว การเลือกหนังรักที่ทั้งสนุก ทั้งขื่นขม ทั้งหอมหวาน ทำให้คนดูได้เติบโตผ่านวันแวลา หรือได้หวนรำลึกถึงความหลัง ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้การออกไปทำกิจกรรมกับนอกบ้าน ทั้งสำหรับคนที่มีคู่และคนที่อาจจะต้องใช้เวลาอยู่กับตัวเองในปีนี้ไปก่อน รักตัวเองอย่างมีความสุขกับหนังสักเรื่องก็เป็นช่วงเวลาที่ดีนะ

ในโอกาสนี้ What The Fact ขอแนะนำหนังรักในตำนาน 10 เรื่องที่ถูกพูดถึงมาตลอดหลายสิบปี บางเรื่องแม้จะเข้าฉายในโรงมานานแล้ว แต่ก็ยังมีคอหนังตามหามาชมกันอยู่ และยิ่งง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะตอนนี้หลายเรื่องก็สตรีมมิงมาให้ดูกันได้แล้วบน Netflix รีบดูก่อนจะโดนถอดจากโปรแกรมละ

รักที่ได้เรียนรู้: (500) Days of Summer (2009)

(500) Days of Summer

(500) Days of Summer (2009)

  • นักแสดง: Joseph Gordon-Levitt, Zooey Deschanel, Chloe Grace Moretz
  • ผู้กำกับ: Marc Webb (The Amazing Spider-Man, Gifted)
  • คะแนนใน Rotten Tomatoes: 85%
  • ทำไมถึงไม่ควรพลาด: หนังในตำนานอีกเรื่องที่พูดถึงการได้เรียนรู้ความรัก ผ่านตัวละคร “ทอม” ชายหนุ่มที่ได้เจอกับความรักจากสาวสวย “ซัมเมอร์” ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต เขาคิดว่าความรักที่ได้พบคือรักแท้ที่เต็มไปด้วยความสวยงาม แต่เขาก็ได้พบกับความจริงในท้ายที่สุดว่า ความรักก็อาจมีวันหมดอายุ และแม้ว่าจะใช่ในวันหนึ่ง อีกวันหนึ่งก็อาจจะไม่ใช่คนที่เกิดมาคู่กันอีกแล้วก็ได้ หนังฉลาดที่เลือกจะเล่าความสัมพันธ์แบบไม่เรียงลำดับเวลา โดยใช้วันแต่ละวันในทั้งหมด 500 วันของความสัมพันธ์หยิบมาเล่า ซึ่งคนดูจะเห็นว่าในช่วงแรกน้ำต้มผักก็ว่าหวาน ส่วนตอนท้ายก็จะได้เห็นทอมเติบโตขึ้น ได้รู้จักกับความรักมากขึ้นผ่านการใช้ชีวิตที่ไม่เดียงสาของเขาเอง ทำให้รู้ว่าบางครั้งไม่ต้องหาว่า ใครถูกใครผิดในจุดจบของความสัมพันธ์ เพียงแค่ปล่อยให้มันเป็นไป เรียนรู้ เข้าใจ และก้าวเดินต่อไปให้ได้ #มู้ปอร

รักแท้ปาฏิหาริย์: Meet Joe Black (1998)

Meet Joe Black

Meet Joe Black (1998)

  • นักแสดง: Brad Pitt, Anthony Hopkins, Claire Forlani, Marcia Gay Harden
  • ผู้กำกับ: Martin Brest (Midnight Run, Scent of Woman)
  • คะแนนใน Rotten Tomatoes: 53%
  • ทำไมถึงไม่ควรพลาด: อีกหนึ่งหนังรักในสไตล์ดรามาติกของยุค 90s ที่มาก่อนกาลเพราะในเวลาที่หนังเข้าฉายนั้นไม่ประสบความสำเร็จทั้งจากผู้ชมทั่วไปและนักวิจารณ์ ดัดแปลงหลวม ๆ จากหนังเก่าปี ค.ศ.1934 เรื่อง Death Takes a Holiday ซึ่งหนังที่ยาวกว่า 3 ชั่วโมงและถ่ายทำด้วยงบที่บานปลายทำให้กลายเป็นหนึ่งในความล้มเหลวของค่ายหนัง Universal แต่ในภายหลังอย่างเมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา มีผู้ใช้ทวิตเตอร์ชื่อว่า “โรส โอ’ เชีย” นำฉากอุบัติเหตุในเรื่องมาทวีตว่า “ฉากหนึ่งนาทีที่งี่เง่าที่สุดในหนังเท่าที่ฉันเคยดูมา” จนมีผู้แชร์ต่อนับหมื่นและกดไลก์เป็นแสน ทำให้เด็กรุ่นใหม่ผู้ใช้ทวิตเตอร์หลายคนรู้จักกับหนังรักที่บอกเล่าเรื่องของยมทูตแห่งความตายที่จำแลงมาในรูปร่างมนุษย์ เพื่อมาเตือนแก่ชายชราคนหนึ่งว่าถึงเวลาอำลาจากโลกนี้ซึ่งไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน เน้นถึงเรื่องคุณค่าและความงามของชีวิต Meet Joe Black ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ปี 2019 จนมีคนแซวในโลกออนไลน์ว่า นี่คนเข้าไปดูหนังตั้งแต่ตอนที่มันเข้าฉายปี 1998 แล้วเพิ่งเดินออกจากโรงมาเหรอ?

รักไปเกลียดไป : 10 Things I Hate About You (1999)

10 Things I Hate About You

10 Things I Hate About You (1999)

  • นักแสดง: Heath Ledger, Joseph Gordon-Levitt, Julia Stiles, Larisa Oleynik
  • ผู้กำกับ: Gil Junger (10 Things I Hate About Life, If Only, Black Knight)
  • คะแนนใน Rotten Tomatoes: 68%
  • ทำไมถึงไม่ควรพลาด: ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ของ William Shakespeare เรื่อง The Taming of the Shrew โดยผู้กำกับ Gil Junger ซึ่งถือว่าถือว่าประสบความสำเร็จเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางของหมู่วัยรุ่นอเมริกา ถึงขนาดที่ 10 ปีต่อมามีการนำมาสร้างใหม่ในฉบับทีวีซีรีส์โดยผู้กำกับคนเดิมเลยทีเดียว หนังบอกเล่าเรื่องราวของ “คาเมรอน” (Joseph Gordon-Levitt) หนุ่มน้อยที่เพิ่งย้ายมาใหม่ในโรงเรียน เขาบังเอิญไปตกหลุมรักสาวในฝันอย่าง “เบียนก้า” (Larisa Oleynik) ที่กำลังค้นหาความหมายความรัก แต่เธอกลับคุณพ่อสั่งห้ามเด็ดขาดว่าถ้า “แคท” (Julia Stiles) พี่สาวยังไม่มีแฟน เธอก็ห้ามมี และความที่ แคทเป็นตัวของตัวเองมากและไม่ชอบทำตามใคร จึงไม่ยอมออกเดตกับใครง่าย ๆ คาแมรอนจึงต้องวางแผนกับเพื่อนซี้เพื่อจ้างหนุ่มแบดบอยหัวรั้นของโรงเรียน (Heath Ledger) มาพิชิตใจแคทให้ได้ หนังรักตลกวัยรุ่นเรื่องนี้โด่งดังเพราะมุกตลกที่สาดไม่ยั้ง และเพลง 70s-80s ที่หยิบมาใช้ได้อย่างลงตัว

รักอีกกี่ครั้งก็ยังเป็นเธอ: 50 First Dates (2004)

50 First Dates (2004)

50 First Dates (2004)

  • นักแสดง: Adam Sandler, Drew Barrymore, Rob Schneider, Sean Astin
  • ผู้กำกับ: Peter Segal (Get Smart, Grudge Match, The Longest Yard)
  • คะแนนใน Rotten Tomatoes: 45%
  • ทำไมถึงไม่ควรพลาด: ยืนหนึ่งหนังรักภายใต้บริบทของการวนลูปซ้ำ ๆ ในเหตุการณ์เดิม ทำนองเดียวกันกับ Groundhog Day (1993) และ Edge of Tomorrow (2014) ต่างที่เรื่องนี้เป็นหนังรัก กับการตั้งคำถามว่าจะทำยังไงให้แฟนที่เป็นโรคความจำเสื่อมรายวัน ตกหลุมรักคุณใหม่ได้ทุกวันที่ลืมตาตื่นขึ้นมา เรื่องราวของ “เฮนรี่ ร็อธ” (Adam Sandler) ชายหนุ่มคนที่ไม่เคยคิดอยากผูกมัดกับใคร ที่ดันไปตกหลุมรักหญิงสาวหน้าตาน่ารัก “ลูซี่ วิทมอร์” (Drew Barrymore) แต่น่าเสียดายที่ทุก ๆ วันความทรงจำของเธอจะถูกลบไปเพราะผลกระทบจากอุบัติเหตุรถชน เพียงแค่ 24 ชั่วโมงที่จะจดจำได้ ไม่ว่าวันนี้ทั้งคู่จะได้รักกัน พูดคุยหรือปิ๊งรักกันได้ดีแค่ไหน แต่พรุ่งนี้เขาจะกลับไปอยู่ในสถานะคนแปลกหน้าของเธอ ซึ่งหมายถึงการกลับไปเริ่มต้นทำให้เธอตกหลุมรักเขาอีกครั้ง หนังชวนตั้งคำถามกับคนดูว่า ถ้าเราเป็นเฮนรี่จะยังเลือกจะยืนอยู่เคียงข้างลูซีแบบนั้น หรือเลือกจะเดินจากมา เพราะเขาทำแบบนั้นได้ทุกวัน และในทุกความสัมพันธ์ย่อมจะมีคนที่รักมากกว่าอีกคนเสมอ

รักยากลืมยาก: Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004)

Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004)

Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004)

  • นักแสดง: Jim Carrey, Kate Winslet, Mark Ruffalo, Elijah Wood, Kirsten Dunst
  • ผู้กำกับ: Michel Gondry (The Green Hornet, Sorry to Bother You)
  • คะแนนใน Rotten Tomatoes: 93%
  • ทำไมถึงไม่ควรพลาด: หนังที่ชนะรางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม และส่งชื่อให้นักแสดง Kate Winslet เข้าชิงนำหญิงยอดเยี่ยมครั้งที่ 4 เกี่ยวกับความพยายามอยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ ที่ทำให้นักแสดงที่เล่นหนังตลกมาตลอดอย่าง Jim Carrey ได้มีหนังดราม่าขายฝีมือทางการแสดงกับเขาด้วย เบื้องหลังการสร้างที่น่าสนใจคือ ในเวลานั้น Jim Carrey เพิ่งจะเลิกรากับคู่หมั้นนักแสดงสาว Renée Zellweger มาหมาด ๆ ซึ่งพอผู้กำกับ Michel Gondry รู้เข้า ก็เลยจ้างนักแสดงประกอบที่หน้าเหมือน Renée มาเข้าฉากเป็นหนึ่งในตัวละครที่เลิกกับตัวละครของ Jim ซึ่งทำให้ตลอด 1 ปี Jim จะอยู่ในภาวะอกหักตลอดที่เจอหน้ากับนักแสดงหญิงคนนี้ ก่อนที่ Michel จะตัดฉากของนักแสดงคนนั้นออกจากหนังทั้งหมด (จริง ๆ ก็คือ จ้างมาแค่เพื่อให้ Jim ซึมเศร้ากับการอกหักไปตลอด 1 ปี นั่นเอง!) ความรัก ความสุข และความทรงจำเป็นสิ่งที่ทำให้นึกย้อนไปถึงเรื่องราวทั้งดีและไม่ดีที่เคยได้ใช้กับใครสักคน ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จะช่วยทำให้คุณทั้งขมขื่นและยิ้มรื้นไปกับคราบน้ำตาอย่างแน่นอน

รักที่ไม่อาจร่วมทาง: The Notebook (2004)

The Notebook (2004)

The Notebook (2004)

  • นักแสดง: Ryan Gosling, Rachel McAdams, James Marden, James Garner, Joan Allen
  • ผู้กำกับ: Nick Cassavetes (My Sister’s Keeper/John Q)
  • คะแนนใน Rotten Tomatoes: 53%
  • ทำไมถึงไม่ควรพลาด: นวนิยายเล่มที่สามของเจ้าพ่อหนังสือรักอย่าง Nicholas Sparks ที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ตามหลัง A Walk to Remember (2002) และจนถึงขณะนี้มีหนังจาก Sparks สิริรวม 11 เรื่องและเรื่องนี้ทำรายได้สูงที่สุด) เล่าเรื่องของ ชายวัยชราผู้หนึ่งที่เล่าเรื่องซึ่งถูกจดบันทึกไว้ในสมุดเล่มหนึ่งให้เพื่อนหญิงในวัยเดียวกันที่บ้านพักคนชราฟัง เรื่องราวในสมุดเล่มนั้นคือ ความรักของหนุ่มสาววัยเริ่มรู้จักความรักที่เป็นดั่งเส้นขนานที่ได้มาบรรจบและแยกทางกันไปในหลายครั้งหลายคราของชีวิต นำแสดงโดย Ryan Gosling และ Rachel McAdams ที่แสดงได้เป็นธรรมชาติ และ James Garner (เรื่องรองสุดท้ายแล้วปู่ก็ไม่เล่นหนังอีกเลย) ที่เล่นได้ซึ้งมากในฉากตอนท้ายร่วมกับ Joan Allen หรือแม้แต่ James Marden ที่เล่นนิดเดียว หนังสวยงามสำหรับผู้ที่อยากจะคล้อยตามไปกับหนังรักโรเมนติกข้ามพ้นวัย ข้อดีของหนังเรื่องนี้คือ การให้เหตุผลในการกระทำของตัวละครทุกตัว ทำให้หนังมีตัวละครที่เต็มไปด้วยเหตุผลในหนังที่เรื่องราวไม่ค่อยจะมีเหตุผลอย่างไม่เคอะเขิน นอกจากนั้นยังถ่ายทำฉากทั้งหลายได้สวยงามหมดจด

รักที่งอกงามในเวลาแค่ 1 คืน: Before Sunrise (1995)

Before Sunrise (1995)

Before Sunrise (1995)

  • นักแสดง: Ethan Hawke, Julie Delphy
  • ผู้กำกับ: Richard Linklater (Before Sunset, Before Midnight, Boyhood)
  • คะแนนใน Rotten Tomatoes: 100%
  • ทำไมถึงไม่ควรพลาด: จุดเริ่มต้นของหนังรักเต็มไปด้วยบทสนทนาความรักที่เพลิดเพลิน จนสร้างมาแล้วจนจบไตรภาคที่ Before Midnight ในปี 2013 เรื่องราวของ “เจสซี” หนุ่มอเมริกัน และ “ซีลีน” สาวฝรั่งเศส พวกเขาพบกันบนรถไฟระหว่างทางไปกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และทั้งคู่ได้ใช้เวลาหนึ่งคืนเดินเล่นรอบเมืองเพื่อทำความรู้จักกัน ก่อนที่เจสซีต้องเดินทางกลับอเมริกาในวันรุ่งขึ้น ส่วนซีลีนก็มีความตั้งใจที่จะกลับไปเรียนต่อที่ประเทศฝรั่งเศส พวกเขาได้มีโอกาสแบ่งปันเรื่องราวของตนเองอย่างอย่างที่เชื่อว่าคงจะไม่ได้พบกันอีก หนังมีแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริงของผู้กำกับที่ได้พบกับผู้หญิงที่ชื่อ Amy Lehrhaupt ในปี 1989 ที่ฟิลาเดลเฟีย Richard ใช้เวลาอยู่กับเธอเป็นเวลา 1 คืนอย่างแสนประทับใจ ในปี 1994 เธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ Richard จะเริ่มถ่ายหนังเรื่องนี้ และกว่าที่เขาจะรู้ว่า Amy เสียชีวิตเวลาก็ผ่านมาถึงปี 2010 แล้ว ผู้กำกับจึงสร้างหนังเรื่อง Before Midnight หนังปิดไตรภาคเพื่ออุทิศให้กับเธอ

รักแท้ของวัยเก๋าหัวร้อน: As Good As It Gets (1997)

As Good As It Gets (1997)

As Good As It Gets (1997)

  • นักแสดง: Jack Nicholson, Helen Hunt, Greg Kinnear, Cuba Gooding Jr.
  • ผู้กำกับ: James L. Brook (Terms of Endearment, Broadcast News, Spanglish)
  • คะแนนใน Rotten Tomatoes: 85%
  • ทำไมถึงไม่ควรพลาด: หนังที่ให้คุณค่ากับประเด็นการลดความเห็นแก่ตัวด้วยการเป็นผู้ให้นั้น ย่อมเป็นความสุขที่แท้จริงเหนือสิ่งอื่นใด กวาดมาแล้วทั้งรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Jack Nicholson) และนำหญิงยอดเยี่ยม (Helen Hunt) จากเวทีออสการ์เมื่อปี 1997 รวมทั้งกวาดรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประเภทภายนตร์เพลงหรือตลก รวมถึงรางวัลนักแสดงนำชายและหญิงยอดเยี่ยมจากเวทีลูกโลกทองคำมาแล้ว หนังเล่าเรื่องราวของ “เมลวิน ยูดัล” หนุ่มใหญ่นักเขียนนวนิยายรักโรแมนติกฐานะดีและจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน แต่ชีวิตเขากลับไม่สมบูรณ์แบบอย่างที่คนภายนอกเห็น เขาเป็นคนจิตใจคับแคบ อารมณ์ร้าย และชอบพูดจาถากถางคนอื่น ทุกเช้าเมลวินจะไปกินอาหารเช้าที่ร้านเจ้าประจำและจะต้องนั่งที่โต๊ะตัวเดิม พนักงานเสิร์ฟทุกคนเอือมระอาเขา มีเพียงแต่ “แครอล คอนเนลร์” พนักงานเสิร์ฟแม่หม้ายลูกติดที่ป่วยเป็นโรคหืด เพียงคนเดียวที่ใจเย็นพอที่จะรองรับอารมณ์อันร้ายกาจของเขาได้ คนดูต้องมาลุ้นกันว่า เมลวินจะซึมซับและสัมผัสถึงความอ่อนหวานจนยอมเปิดใจ และแครอลจะลงเอยความรักกับหนุ่มใหญ่คนนี้ได้หรือไม่   

รักนะเด็กโง่: Crazy, Stupid, Love (2011)

Crazy Stupid Love

Crazy Stupid Love (2011)

  • นักแสดง: Steve Carell, Ryan Gosling, Julianne Moore, Emma Stone, Marisa Tomei
  • ผู้กำกับ: Glenn Ficarra and John Requa (Focus, Whiskey Tango Foxtrot, I Love You Phillips Morris)
  • คะแนนใน Rotten Tomatoes: 79%
  • ทำไมถึงไม่ควรพลาด: Ryan Gosling ได้เข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์เพลงหรือตลกเรื่องนี้ รวมถึงยังเป็นหนังที่คู่จิ้นอย่าง Gosling และ Emma Stone ได้แสดงบทคู่รักร่วมกันก่อนจะมาเจอกันอีกทีที่ La La Land (2016) หนังเพลงรักที่เกือบจะคว้าออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมได้สำเร็จ Crazy, Stupid, Love ว่าด้วยเรื่องของ “คาล” (Steve Carell) และ “เอมมิลี่” (Julianne Moore) สามีภรรยาคู่หนึ่งที่กำลังจะหย่ากัน เพราะว่าฝ่ายหญิงเบื่อสามีขึ้นมาเสียอย่างนั้น แถมยังแอบไปมีสัมพันธ์ลับ ๆ กับเพื่อนในที่ทำงานเดียวกันอีก คาลซึ่งตอนแรกยอมรับในความพ่ายแพ้ก็เสียผู้เสียคนไปตามระเบียบ  จนได้ไปเจอกับ “เจค็อบ” (Ryan Gosling) หนุ่มเพลย์บอยที่ทุกคืนจะต้องได้หิ้วสาวกลับบ้าน เจค็อบเสนอตัวเข้าช่วยเหลือด้วยการสอนวิธีได้หญิงในบาร์ แต่ถึงยังไงคาลก็ยังลืมเมียเก่าไม่ได้ จึงต้องตามง้อจนเรื่องชุลมุนยุ่งเหยิงในตอนท้ายเรื่อง ส่วนเสือเจค็อบก็ได้มาเจอกับ “นาน่า” (Emma Stone) ที่อาจจะหยุดเสือตัวนี้ได้จริง ๆ หนังมีฉากไคลแมกซ์ชวนหักมุมด้วยความบันเทิงที่ถ้าใครเคยได้ดูแล้วก็จะต้องบอกว่า เป็นฉากหักมุมที่ทำให้หนังทั้งเรื่องสนุกสุด ๆ ขึ้นมาเลย

รักตัวเองให้เป็น: Lost in Translation (2003)

Lost in Translation (2003)

Lost in Translation (2003)

  • นักแสดง: Bill Murray, Scarlett Johansson, Giovanni Ribisi
  • ผู้กำกับ: Sofia Coppola (The Beguiled, The Bling Ring, Marie Antoinette)
  • คะแนนใน Rotten Tomatoes: 95%
  • ทำไมถึงไม่ควรพลาด: ชนะรางวัลในสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ปี 2004 สำหรับหนังที่เป็นหัวแถวหนังแห่งความเหงาที่สุดที่โลกใบนี้จะมีได้ (หนังยังได้เข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Bill Murray) และผู้กำกับยอดเยี่ยมอีกด้วย) หนังที่ว่ากันว่า Sofia บอกเล่าถึงอดีตสามีอย่างผู้กำกับ Spike Jonze ผู้กำกับเรื่อง Her (2014) ที่ในเรื่องนั้นก็มีกลิ่นของ Lost in Translation อยู่เหมือนกัน หนังเล่าเรื่องของ “บ็อบ แฮริส” (Bill Murray) นักแสดงขาลงวัยกลางคน ที่กำลังประสบปัญหาเบื่อหน่ายภรรยา แล้วยังต้องมารับงานถ่ายโฆษณาที่เขารู้สึกอึดอัดที่ประเทศญี่ปุ่นที่เขาไม่คุ้นเคยอีก ส่วน “ชาล็อต” (Scarlett Johansson) นักศึกษาที่พึ่งจบปริญญาด้านปรัชญา ติดตามสามีที่เป็นช่างภาพมาทำงานที่ญี่ปุ่นเหมือนกัน ด้วยความที่สามีต้องทำงานทั้งวันจึงไม่มีเวลาให้กับเธอ ตลอดเวลาที่เธออยู่คนเดียวจึงรู้สึกเหงาในดินแดนที่ไม่สามารถสื่อสารภาษาตัวเองกับคนอื่นได้ ทั้งบ็อบและชาล็อตจึงมีความเหงาเหมือนกัน จนเมื่อทั้งสองคนเริ่มต้นทักกัน ผูกมิตรกัน จึงตกลงกันออกไปสร้างพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง หนังขึ้นชื่อเรื่องการถ่ายทอดอารมณ์ความเหงาระหว่างคนในเมืองใหญ่ ที่คงได้อิทธิพลมาจากหนังของหว่อง กาไว อย่าง In the Mood for Love (2000) มาพอสมควร ซึ่งก็ทำให้คนดูได้ตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนกันว่า ควรจะรักตัวเองให้เป็นได้อย่างไร

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส