ไม่บ่อยนักที่เราจะได้สัมผัสประสบการณ์หรูหราเหมือนดังผู้บริหาร แต่วันนี้บีเอ็มดับเบิลยูสานฝันทีมงานแบไต๋ด้วยการเชิญชวนให้ไปทดสอบการขับขี่และโดยสารรถบีเอ็มดับเบิลยู X7 และบีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์ 7 สองรุ่นด้วยกัน พร้อมประสบการณ์ขับขี่แบบหรูหราและพกพาความมันบนยอดดอยช้าง พาลัดเลาะหุบเขาและหัวโค้งนับร้อย ก่อนจะแวะพักเติมพลังที่รีสอร์ตริมแม่น้ำ จังหวัดเชียงราย

งานนี้ออกสตาร์ตกันตั้งแต่เช้าที่สนามบินแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยขบวนรถบีเอ็มดับเบิลยูยาวเหยียดหลายสิบคัน ตั้งแต่รุ่นเรือธงกับบีเอ็มดับเบิลยู 745Le xDrive M Sport และบีเอ็มดับเบิลยู 730Ld sDrive M Sport รวมถึงรถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่อย่างบีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive40d M Sport ที่เพิ่งเปิดตัวเครื่องยนต์ใหม่เมื่อเร็ว ๆ นี้ มาพร้อมขุมพลังดีเซล BMW TwinPower Turbo ผสานการทำงานของระบบ Mild Hybrid มาช่วยเสริมกำลังขับเคลื่อนเพิ่มขึ้นอีก 11 แรงม้า รวมเป็น 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร รีดความเร็วจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 6.1 วินาที พี่ใหญ่ก็ไวไม่ใช่น้อยนะเนี่ย

อีกหนึ่งไฮไลต์ของบีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive40d M Sport ใหม่ ยังเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ประกอบที่โรงงานของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ในจังหวัดระยอง และเป็นเจนเนอเรชันแรกที่มีช่องสำหรับใส่สาร AdBlue หรือสารช่วยลดการปล่อยมลพิษได้มากกว่าเครื่องยนต์ดีเซลทั่วไปนั่นเอง (สังเกตได้เวลาเปิดช่องเติมน้ำมัน ฝาจุกสีฟ้า)

เราเริ่มต้นทดสอบฟังก์ชันช่วยขับขี่เส้นทางออฟโรดด้วยบีเอ็มดับเบิลยู X7 เพื่อทดสอบช่วงล่างถุงลมที่สามารถปรับระดับได้แบบอัตโนมัติ พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive ไม่ต้องกังวลว่าจะกี่หลุมกี่บ่อก็เอาอยู่ ให้ความรู้สึกนุ่มสบายสมมาตรฐาน นอกจากสมรรถนะของตัวรถที่เรารู้สึกประทับใจแล้ว ยังชื่นชอบสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในรถ ที่ทำให้รู้สึกสมกับเป็นผู้บริหารมากขึ้น

ภายในห้องโดยสารบีเอ็มดับเบิลยู X7
ที่วางแก้วพร้อมระบบทำความร้อนและรักษาความเย็นด้วยไฟฟ้า

เริ่มตั้งแต่เบาะที่นั่งไฟฟ้า 7 ที่นั่งพร้อมฟังก์ชันนวดผ่อนคลายได้ถึง 3 ระดับ ชุดเซตไฟ Ambient light สร้างบรรยากาศในห้องโดยสารและเพดานแบบ Sky Lounge ที่วางแก้วน้ำมาพร้อมระบบทำความร้อนและรักษาความเย็นได้ด้วย เสียดายที่ไม่ได้ติดแก้วน้ำส่วนตัวมา แต่เราได้เล่นหน้าจอทัชสกรีนขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมระบบ BMW ConnectedDrive และระบบ BMW Intelligent Personal Assistant ที่ควบคุมผ่านระบบสั่งการด้วยเสียง หรือใช้สัญลักษณ์มือในการเพิ่มลดเสียงและเปลี่ยนเพลงได้ด้วย อันนี้เท่มาก ๆ ทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องละมือมากดที่หน้าจอเลย

ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นบีเอ็มดับเบิลยู 745Le xDrive M Sport รถปลั๊กอินไฮบริด ในเส้นทางขึ้นเขา มุ่งหน้าสู่ดอยช้าง ที่น่าสนใจคือเทคโนโลยีแชสซีใหม่อย่าง Executive Drive Pro เมื่อใช้ควบคู่แผนที่ของบีเอ็มดับเบิลยู จะช่วยคำนวณการทำงานของช่วงล่างให้เหมาะสมกับการขับขี่และเส้นทาง ซึ่งทางอินสทรักเตอร์เป็นผู้แนะนำว่าให้ใช้โหมดขับขี่แบบ Adaptive จะดีที่สุด (ในที่นี้คือรู้สึกเมารถน้อยที่สุดนะครับ) ทำให้ควบคุมรถได้แม่นยำและเข้าโค้งได้คมขึ้น โดยที่ยังรักษาความนุ่มสบายของผู้โดยสารให้ประดุจดังผู้บริหารอยู่

ภายในห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์ 7

ไฮไลต์ของบีเอ็มดับเบิลยู 745Le xDrive M Sport และบีเอ็มดับเบิลยู 730Ld sDrive M Sport คือการย้ายมานั่งเบาะโดยสารตอนหลัง ให้สมกับเป็นผู้บริหาร ยังคงใช้เบาะที่นั่งไฟฟ้าทุกที่นั่ง รองรับฟังก์ชันนวดผ่อนคลายได้เช่นเดียวกับ X7 ผู้โดยสารสามารถเพลิดเพลินกับความบันเทิงด้านหลังได้เต็มรูปแบบ ทั้งจากหน้าจอส่วนตัวขนาด 10 นิ้ว พร้อมเครื่องเล่นบลูเรย์ควบคุมผ่านแท็บเล็ต และลูกเล่นเพิ่มเติมคือปุ่มที่สามารถพับเบาะข้างคนขับให้กลายเป็นที่วางเท้า เอนหลังพักผ่อนระหว่างการเดินทางได้ด้วย แต่ฟังก์ชันนี้แนะนำอย่าใช้ขณะขึ้นลงเขา เพราะเดี๋ยวอาการเมารถจะถามหา

ก่อนที่จะได้ทดสอบขุมพลังของบีเอ็มดับเบิลยู 730Ld sDrive M Sport ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ BMW TwinPower Turbo พละกำลัง 265 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 620 นิวตัวเมตร ทำความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แม้เราจะไม่ได้ใช้ความเร็วขนาดนี้ในการลงเขา แต่ด้วยสมรรถนะของตัวรถก็พาขบวนของเรากลับเข้าเมืองเชียงรายในเวลาไม่นาน ขอบคุณบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ที่ทำให้เรามีประสบการณ์หรูดุจผู้บริิหาร (ที่ทั้งขับเองบ้างและเป็นผู้โดยสารบ้าง) และทำให้เห็นว่ารถหรูก็บู๊ได้จริง

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส