องค์การควบคุมยาของยุโรปพบความเชื่อมโยงระหว่างวัคซีนโคโรนาไวรัสที่พัฒนาโดย AstraZeneca และมหาวิทยาลัย Oxford กับเคสของผู้ป่วยที่มีอาการลิ่มเลือดแข็งตัวหลังจากได้รับวัคซีนตัวนี้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีความเชื่อมโยงกันจริง ๆ แม้จะมีการออกมาแถลงแล้วว่าประโยชน์ของการได้รับวัคซีนยังคงมีมากกว่าความเสี่ยงก็ตาม

เอเมอร์ คุก (Emer Cooke) ผู้อำนวยการบริหารของ European Medicines Agency (EMA) กล่าวว่าการแข็งตัวของลิ่มเลือดแบบผิดปกติที่ได้พบนั้น เป็นผลข้างเคียงที่พบได้ยากมาก นี่ยังไม่รวมถึงอาการไม่พึงประสงค์อื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีก

คำเตือนดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการความปลอดภัยของหน่วยงานกำกับดูแลได้ตรวจสอบกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการลิ่มเลือดอุดตันหลังจากได้รับการฉีดวัคซีน Oxford-AstraZeneca โดยเคสส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับผู้หญิงอายุต่ำกว่า 60 ปี หลังได้รับการฉีดประมาณ 2 สัปดาห์ ส่วนทางด้าน EMA เองก็ยังไม่ได้ระบุปัจจัยเสี่ยงที่มีส่วนทำให้เกิดเคสนี้แต่อย่างใด

นักวิจัยยังไม่ทราบแน่ชัดว่าอะไรคือสาเหตุของอาการลิ่มเลือดแข็งตัวนี้ แต่หนึ่งในคำอธิบายที่ดูจะเป็นไปได้ที่สุดคือวัคซีนทำให้เกิดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในบางคน ซึ่งคล้ายกับที่พบในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยเฮปาริน (ยาต้านการแข็งตัวของเลือด) ที่เรียกว่าภาวะเกล็ดเลือดต่ำที่เกิดจากเฮปาริน

เอเมอร์ คุกยังกล่าวอีกว่า “กรณีนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความท้าทายอย่างหนึ่งที่เกิดจากการรณรงค์เพื่อให้คนมาฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมาก เมื่อผู้คนหลายล้านคนได้รับวัคซีนเหล่านี้ นั่นคงไม่แปลก ที่อาจจะทำให้เราต้องพบกับเคสหายากแบบกรณีนี้ ซึ่งไม่ได้มีระบุไว้ในการทดลองทางคลินิกของเราเลย”

หน่วยงานกำกับดูแลด้านการแพทย์ของสหราชอาณาจักรยังคงออกมารณรงค์ให้ไปฉีดวัคซีนอยู่ดี เพราะยังไงประโยชน์ของวัคซีน Oxford-AstraZeneca ก็มีมากกว่าความเสี่ยงอยู่แล้ว ขณะที่คณะกรรมการด้านการฉีดวัคซีนและการสร้างภูมิคุ้มกันของสหราชอาณาจักรกล่าวว่า ผู้ที่อายุต่ำกว่า 30 ปีที่ยังไม่มีภาวะสุขภาพขั้นพื้นฐานควรได้รับวัคซีนชนิดอื่นถ้าเป็นไปได้

อ้างอิง

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส