• โครงการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย (พื้นที่รวมประมาณ 60,000 ตร.ม.) ชูมาตรฐานการออกแบบและพัฒนาระดับสากล ตั้งบนทำเลยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจใจกลางกรุงเทพฯ ย่านรามคำแหง
  • ล่าสุดได้มีการลงเสาเอกและเริ่มดำเนินการก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้อย่างเป็นทางการ คาดแล้วเสร็จพร้อมให้บริการในปี 2564

กรุงเทพฯ 21 พฤษภาคม 2562

บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ “FPT” (ชื่อเดิมไทคอน) ผู้นำการให้บริการสมาร์ทแพลตฟอร์มด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร จับมือเอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ หรือ “เอสทีที จีดีซี” พันธมิตรชั้นนำระดับโลกด้านการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์จากสิงคโปร์ เดินหน้าพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกภายใต้ความร่วมมือ  ตั้งเป้าเป็นศูนย์ข้อมูลที่ทันสมัยและมีมาตรฐานระดับโลก รองรับเทรนด์เศรษฐกิจของประเทศไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้จะประกอบด้วย 2 อาคารโดยอาคารแรกจะมีพื้นที่เกือบ 30,000 ตารางเมตร สำหรับในเฟสแรกจะใช้งบประมาณกว่า 7 พันล้านบาท และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2564

นายโสภณ ราชรักษา ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาองค์กรขนาดใหญ่และขนาดกลางเริ่มปรับตัวให้สอดรับกับโลกยุคแห่งดิจิทัล โดยนำระบบดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการดำเนินธุรกิจ ทำให้มีความต้องการใช้บริการโคโลเคชั่นที่มีความปลอดภัยด้านการเก็บรักษาข้อมูลขั้นสูง มีความสะดวก รวดเร็วและเชื่อถือได้เพิ่มมากขึ้น จึงมั่นใจว่าความร่วมมือระหว่างเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย และ เอสทีที จีดีซี จะเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองที่ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยเติบโต โดยดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกนี้ จะตั้งอยู่ย่านรามคำแหง ผู้ใช้บริการข้อมูลสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีการเชื่อมโยงที่ไร้รอยต่อ

มร.บรูโน่ โลเปซ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ หรือ “STT GDC” กล่าวว่า “เราจะผนึกความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและออกแบบดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลกของ STT GDC และประสบการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ยาวนานในตลาดประเทศไทยของ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย เพื่อพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกภายใต้ความร่วมมือบนพื้นที่ยุทธศาตร์ย่านรามคำแห่งในกรุงเทพฯ ซึ่งเราจะนำเทคโนโลยีล่าสุดและการออกแบบอาคารแบบยั่งยืน (Sustainable) มาประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้พลังงานสูงสุด ซึ่งจะสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำระดับโลก รวมถึงองค์กรที่มองหาโอกาสทางธุรกิจจากการเติบโตของยุคเศรษฐกิจดิจิทัล”