ช่วงนี้มีกระแสดราม่าหนึ่งในโลกออนไลน์ (พีท คนเลือดบวก) ที่กลายเป็นประเด็นให้จับตามองคือผู้ป่วยเอดส์หรือที่ติดเชื้อ HIV รับประทานยาต่อเนื่องจนผลตรวจเลือด U=U แล้วนั้นสามารถมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ใส่ถุงได้จริงหรือไม่?

U=U คืออะไรนะ?

อันดับแรกก็ต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่า U=U คืออะไร? ในภาษาทางการแพทย์ผู้ป่วยติดเชื้อเราจะเรียกว่า Positive หรือค่าเลือดเป็นบวก หมายถึงการติดเชื้อ และเมื่อผู้ป่วยรับประทานยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนานจนผลตรวจเลือดเป็น Undetectable หรือ U ที่หนึ่ง หมายถึง มีปริมาณไวรัสที่ไม่สามารถตรวจเจอได้ และเมื่อผู้ป่วยทานยาอย่างต่อเนื่อง โดยมีค่า undetectable อย่างน้อย 6 เดือน นั่นหมายความว่าผู้ป่วยคนนี้ไม่สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้แล้ว ถึงแม้ว่าในร่างกายจะยังมีเชื้ออยู่ (they can’t spread the HIV virus sexually. Therefore, even though they carry the virus, it’s untransmittable.) ทั้งหมดนี้คือความหมายของ U=U ตามทฤษฎี

ถึงแม้ว่าผลตรวจจะไม่พบเชื้อไวรัสแล้วก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วในร่างกายเราก็ยังมีเชื้อไวรัสอยู่ดี ในปัจจุบันคือต่ำกว่า 20 copies ต่อ ml นี่คือในเลือดต่อ 1 หน่วยมิลลิลิตรเท่านั้น แต่ยังสามารถพบเชื้อในอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกายได้ เช่น เชื้อในต่อมไทมัส ในเซลล์แอสโตรไซต์ในสมอง และ เนื้อเยื่อน้ำเหลืองที่ส่งเข้ากระแสเลือดได้อีก

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่มีงานวิจัยรองรับว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัย U=U จะไม่สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ 100% ครับ คือแม้ว่าความเสี่ยงในการแพร่เชื้อให้คนอื่นจะลดลงไปมาก แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้เต็มที่คนอื่นจะไม่ติดเชื้อไป

ทางที่ดีที่สุดในการมีเพศสัมพันธ์คือการใส่ถุงยางอนามัยเพราะนอกจากจะช่วยป้องกัน HIV ได้แล้ว ยังช่วยป้องกันโรคอื่น ๆ เช่น หนองใน เริม ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบบี เป็นต้น

อ้างอิง 1 2 3

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส