ต้อนรับกลับสู่ ค ร อ บ ค รั ว Gal Gadot เตรียมฟื้นจากหลุมมาบู๊ใน ‘Fast X’
ล่าสุดก็ได้รับการยืนยันแล้วว่าตัวละคร จีเซล ของ กัล กาด็อต (Gal Gadot) จะกลับมาใน 'FastX' หนังภาคที่ 10 ของแฟรนไชส์
โซ่ว จื่อ โจว (Shou Zi Chew) ซีอีโอของ TikTok ให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘The David Rubenstein Show’ เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังจากเข้ารับตำแหน่งได้เกือบปี ถึงความท้าทายและอนาคตสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับ TikTok หลังจากเขาเข้ามารับตำแหน่ง ในวิดีโอสัมภาษณ์เราจะเห็นว่าโจวไม่ได้พูดถึงคู่แข่งคนอื่น ๆ ในตลาดเลย ไม่ว่าผู้สัมภาษณ์จะถามอย่างตรงไปตรงมาเลยว่า “ถ้า มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) มายืนตรงนี้ คุณก็จะบอกว่าไม่ต้องสนใจเราอย่างนั้นเหรอ?” ซึ่งโจวตอบว่า “อาจจะฟังดูซ้ำซากนะครับ แต่ในระยะยาวแล้วคู่แข่งของเราคือตัวเราเองมากกว่า” เพราะเขาเชื่อว่า “TikTok ยังพัฒนาไปได้อีกเยอะเพราะยังเป็นบริษัทที่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”
แม้จะเพิ่งก่อตั้งมาในปี 2016 แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า TikTok ได้กลายเป็นแอปพลิเคชันที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการโซเชียลมีเดียที่ถูกครองตลาดโดยยักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่เจ้ามานานหลายปี หลายคนบอกว่ามันเป็น “ลมหายใจใหม่” ของวงการ อีกส่วนหนึ่งบอกเป็น “แสงสว่างบนโลกโซเชียลมีเดีย” ที่พึ่งพาระบบอัลกอริทึมช่วยดันคอนเทนต์ที่น่าสนใจให้กลายเป็นไวรัลมากกว่าพึ่งพาจำนวนผู้ติดตามอย่างโซเชียลมีเดียแบบดั้งเดิม ทำให้คนที่สร้างคอนเทนต์สนุก ๆ สามารถมีชื่อเสียงขึ้นมาได้โดยพึ่งพาความสามารถของตัวเอง (ดูอย่าง คาบี ลาเม (Khaby Lame) ก็ได้)
TikTok มีผู้ใช้งานมากกว่า 1,000 ล้านคนต่อเดือนไปแล้ว ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างรวดเร็วและก็ได้รับความสนใจอย่างมากจากสื่อ ผู้ใช้งาน และแน่นอนนักลงทุน แม้บริษัทจะยังไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้น แต่ก็น่าจับตามองว่าต่อจากนี้จะเป็นยังไงเพราะหลังจากที่ตำแหน่งซีอีโอของบริษัทถูกทิ้งร้างไว้มานานหลายเดือนตั้งแต่ เควิน เมเยอร์ (Kevin Mayer) ลาออกไปในเดือนสิงหาคม 2020 (วาเนสซา พาพาส (Vanessa Pappas) ประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ขึ้นรับตำแหน่งชั่วคราว) ตอนนี้พวกเขาได้โจว ซีอีโอหนุ่มคนใหม่ชาวสิงคโปร์เข้ารับตำแหน่งเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม 2021 เรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญก่อนหน้านี้เคยทำงานตำแหน่งซีเอฟโอของ Xiaomi และเป็นส่วนพาบริษัทเข้าตลาดหุ้นของฮ่องกงได้สำเร็จมาแล้วด้วย
โจวเกิดและโตที่สิงคโปร์ในครอบครัวระดับกลางถึงบน หลังจากเรียนจบมัธยมปลายก็ขวนขวายไปเรียนต่อต่างประเทศเพราะรู้สึกว่าสิงคโปร์แม้จะเป็นประเทศที่มีความเจริญ แต่อยากออกไปเรียนรู้โลกที่กว้างกว่านี้ “ผมรู้ว่าตัวเองอยากเห็นโลกให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้” เขากล่าวในพิธีจบการศึกษาของ University College London (UCL) ในช่วงเดือนมีนาคม 2022 ในฐานะอดีตนักเรียนที่จบไปจากที่นี่เมื่อหลายปีก่อน
หลังจากจบมัธยมปลายเขาก็สมัครไปเรียนที่ UCL คณะเศรษฐศาสตร์ที่ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังทางด้านนี้ การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้เขาสามารถเติมความรู้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องการเงินและธุรกิจ เรียนจบมาในปี 2008 ก่อนจะไปเรียนต่อปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจที่ Harvard อีกสองปี แม้ว่าตอนแรกเขาจะยังลังเลกับการตัดสินใจก็ตาม
“ผมจำได้ว่าไม่มั่นใจกับการตัดสินใจเลย คิดอยู่ว่ามันจะช่วยเรื่องงานหรือจะยิ่งทำให้มันช้าลงไปอีก”
แต่การไปเรียนที่ปริญญาโทต่อนั้นถือเป็นการตัดสินใจที่ดีสำหรับเขา นอกจากจะได้พบกับภรรยาแล้ว ยังมีโอกาสได้ไปฝึกงานที่ Facebook ระหว่างที่ยังเป็นสตาร์ตอัป นอกจากนั้นยังได้เรียนรู้ผ่านคอร์สเรียนที่นำพวกเคสธุรกิจต่าง ๆ มาศึกษาจริง ๆ แถมยังมีเพื่อนที่มีความสามารถเต็มไปหมด เขากล่าวว่า
“HBS [Harvard Business School] ได้ทำให้ผมได้เห็นมุมมองต่าง ๆ มากมายที่ไม่เคยมีโอกาสได้เห็น แพลตฟอร์มที่ HBS มอบให้เรานั้นได้ช่วยทำให้เราประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในส่วนนี้ของโลก”
เมื่อออกจากรั้วมหาวิทยาลัยโจวได้งานที่โกลด์แมน ซาคส์ (Goldman Sachs) วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกาซึ่งถือว่าเป็นก้าวแรกในชีวิตการทำงานที่เริ่มต้นได้เป็นอย่างดี ทำตรงนั้นอยู่ 2 ปีก่อนจะย้ายไปที่บริษัทลงทุนเล็ก ๆ อีกแห่งหนึ่งชื่อ DST Global ซึ่งที่นี่เองที่เขาได้ติดต่อกับบริษัท ByteDance (บริษัทแม่ของ TikTok) เป็นครั้งแรก ซึ่งขณะนั้นยังเป็นสตาร์ตอัปขนาดเล็กจากประเทศจีน เขาเป็นผู้นำทีมของนักลงทุนไปลงเงินใน ByteDance ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ และติดต่อกันมาตลอดตั้งแต่ตอนนั้น
หลังจากอยู่ที่ DTS Global ได้อีกประมาณ 5 ปี ก็ได้ร่วมงานกับบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่อีกเจ้าหนึ่งของจีนที่เราน่าจะรู้จักกันดีนั่นคือ Xiaomi ในตำแหน่งซีเอฟโอและประธานฝ่ายธุรกิจต่างประเทศ ก่อนจะช่วยนำ Xiaomi เข้าตลาดหุ้นฮ่องกงได้สำเร็จ อยู่ที่นั้น 5 ปี ก่อนจะถูก จาง อีหมิง (Zhang Yiming) ผู้ก่อตั้ง ByteDance ชวนให้รับตำแหน่งซีเอฟโอของ ByteDance ในเดือนมีนาคม 2021 และโปรโมตให้มาเป็นซีอีโอของ TikTok ในเดือนพฤษภาคม 2021 ต่อมาในภายหลัง
อีหมิงบอกว่าโจว “นำเอาความรู้เชิงลึกของบริษัทและอุตสาหกรรมมาด้วย การนำทีมของนักลงทุนกลุ่มแรก ๆ ในบริษัทเรา และทำงานในส่วนของเทคโนโลยีมาเป็นสิบปี”
แม้เส้นทางที่ผ่านมาดูประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม โจวยอมรับว่าเขามีสับสนและไขว้เขวอยู่บ้างระหว่างทาง โดยเฉพาะตอนที่ตัดสินใจไปเรียนต่อที่อเมริกา “หลังจากที่เรียนจบผมไม่รู้เลยว่าอยากทำอะไรหรือชีวิตจะพาไปไหน มองย้อนกลับไปมันไม่ได้มีแผนการอะไรที่ยิ่งใหญ่ ผมแค่ทำงานหนักกับสิ่งที่ตัวเองมี เอาตัวเองออกไปเจอสิ่งใหม่ ๆ และลองทำเมื่อโอกาสเข้ามาถึงมือ”
เขากล่าวถึงช่วงเวลาที่ได้ทำงานให้กับโกลด์แมน ซาคส์ว่าตัวเองไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการลงทุนเลย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกยอมแพ้หรือไม่อยากทำ
“ผมไม่ได้มีประสบการณ์ลงทุนอะไรเลยตอนนั้น แต่ก็ลองเรียนรู้ดูเรื่อย ๆ ผลักตัวเองให้ออกจากคอมฟอร์ตโซน และผมก็ได้เจอกับผู้ก่อตั้งบริษัทหลายคนในช่วงเวลานั้น รวมถึงผู้ร่วมก่อตั้ง ByteDance และ TikTok ด้วย และหลายปีต่อมาผมก็พบตัวเองรับงานปัจจุบันกับ TikTok แล้ว”
เมื่อถูกถามในการสัมภาษณ์ว่า “เป้าหมายคือการเข้าตลาดหุ้นรึเปล่า?” โจวคิดนิดหนึ่งแล้วก็ตอบว่า “ตอนนี้เรายังโฟกัสที่ธุรกิจของเราก่อน มีอีกหลายอย่างมากที่เราจะทำสำหรับ TikTok นั่นคือสิ่งที่เราต้องโฟกัสคือขยายธุรกิจออกไป และทำให้แน่ใจว่าเราลงทุนไปกับสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อถึงเวลานั้นเราคงเข้าตลาดหุ้น เมื่อถึงเวลา แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”
ต้องยอมรับว่าโจวเข้ามารับตำแหน่งที่ถือว่างานหินสุด ๆ งานหนึ่งเลย ต้องคอยแก้ปัญหาและตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องกฎหมาย เรื่องข้อมูลของผู้ใช้งาน เรื่องความไม่เชื่อใจจากรัฐบาลสหรัฐ และข่าวลืออีกมากมายที่บอกว่าเขาเป็นเพียงหัวโขนหนังหน้าไฟเพื่อจะสร้างภาพลักษณ์ของความเชื่อมั่นให้กับคนภายนอก โดยมี ByteDance ซึ่งเป็นบริษัทจีนควบคุมอยู่เบื้องหลัง
เป้าหมายระยะสั้นของเขาในฐานะซีอีโอ คือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งานว่าคอนเทนต์ที่ถูกนำขึ้นไปบนระบบนั้นได้ผ่านการตรวจสอบ ไม่ผิดกฎหมาย ไม่นำเสนอความรุนแรง หรือเรื่องลามกอนาจาร ในขณะเดียวกันก็ต้องคอยปรับตัวให้เข้ากับข้อกำหนดทางกฎหมาย พิสูจน์ให้เห็นว่า TikTok แม้จะเป็นบริษัทลูกของ ByteDance ก็เป็นบริษัทที่ปลอดภัยในการใช้งานโดยชี้แจงเรื่องฐานข้อมูลที่ตั้งอยู่ในประเทศอเมริกาและสิงคโปร์ว่าปลอดภัยอย่างแน่นอน
“เรายังเป็นบริษัทที่เพิ่งก่อตัว และผมก็คิดว่าความเชื่อใจเป็นอะไรที่เราจะได้รับผ่านการลงมือทำ ยกตัวอย่างเช่นการลงทุนอย่างต่อเนื่องในเรื่องความปลอดภัย ไม่ใช่แค่การขยายธุรกิจ แต่เป็นการสร้างความเชื่อใจกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั่วโลกตลอดเส้นทาง”
โจวเพิ่งรับตำแหน่งไปได้ประมาณปีกว่า ๆ เราเห็นฟีเจอร์ใหม่ ๆ อย่างการเปิด Live Stream หรือ E-commerce ที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับคอนเทนต์ครีเอเตอร์มากมาย แต่เชื่อว่าต่อจากนี้งานของโจวจะยากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อคู่แข่งอย่าง Facebook, Instagram หรือ YouTube ต่างเริ่มเข้ามาสู้ในตลาดคอนเทนต์วิดีโอสั้นและทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงเอาคนกลับมาอยู่แพลตฟอร์มของตัวเอง
TikTok จะต้องสร้างความแตกต่างต่อไป ตอนนี้พวกเขาต้องกลับมามองจุดแข็งของตัวเองและพัฒนาต่อยอดจากตรงนั้น อย่างที่โจวกล่าวตั้งแต่แรกว่าการโฟกัสไปที่คู่แข่งก็คงไม่ได้ช่วยอะไร และในระยะยาวคนที่จะทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จได้ก็คือตัวเองนั่นแหละ
ที่มา:
Study International YouTube
Alumni HBS The NY Banner
The New York Times
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส