NCDs (Non-Communicable Diseases) หรือ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง คือกลุ่มโรคที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อและไม่แพร่จากคนสู่คน แต่เป็นผลมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ทำให้เกิดโรค อย่างโรคเบาหวาน โรคอ้วนลงพุง โรงมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง และโรคร้ายอื่น ๆ อีกมากมาย

หนึ่งในทางออกที่จะช่วยลดปัญหาการเกิดโรคเหล่านี้ลงได้อย่างเหมาะสมคือ ‘ภาษีเค็ม’ นั่นเอง แต่ปัญหาคือ แม้ว่าในอาคตภาษีเค็มจะช่วยลดปัญหาเชิงสุขภาพลงได้จริง แต่ในทางกลับกันอาจเป็นการผลักภาระให้ประชาชน เพราะภาษีเค็มจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตอาหารโดยตรงในเรื่องการเพิ่มต้นทุนการผลิตเพื่อหาโซเดียมมาทดแทนเกลือ และผลกระทบอื่น ๆ มากมายที่เราจะกล่าวถึงในเนื้อหา BT originals คลิปนี้ BT พาผู้อ่านมาทำความรู้จักกับ ‘ภาษีเค็ม’ ข้อดี ข้อเสีย และผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย พร้อมเสนอแนวทางสำหรับรับมืออย่างเหมาะสม

ภาษีเค็มคืออะไร ?

“ภาษีเค็ม” หรือภาษีโซเดียมกำลังถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง โดยมีแนวคิดคล้ายกับภาษีความหวานที่เราคุ้นเคยกันดี แต่ทำไมต้องมีภาษีเค็ม ? สาเหตุหลักก็มาจากพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยที่กินเค็มเกินมาตรฐานไปมากนั่นเอง !

องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่าเราไม่ควรกินโซเดียมเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเท่ากับเกลือ 1 ช้อนชา แต่จากข้อมูลพบว่าคนไทยบริโภคโซเดียมมากถึง 2 เท่าของปริมาณที่แนะนำ !

การบริโภคโซเดียมเกินขนาดจะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรง โดยเฉพาะ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไต ซึ่งล้วนเป็นภาระทางสาธารณสุขและเป็นอันตรายต่อตัวผู้บริโภคเอง

รัฐบาลจึงตั้งเป้าหมายที่จะลดการบริโภคโซเดียมของคนไทยลง 30% ภายในปี 2568 โดยหวังจะใช้ภาษีเป็นเครื่องมือในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค เหมือนกับที่เคยประสบความสำเร็จกับภาษีน้ำตาลในปี 2560 ที่ทำให้ผู้ผลิตปรับสูตรและผู้บริโภคตระหนักมากขึ้น

ต่างประเทศจัดการภาษีความเค็มอย่างไร ?

หลายประเทศทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงปัญหาสุขภาพจากการบริโภคโซเดียมเกินขนาด และได้เริ่มใช้มาตรการต่าง ๆ รวมถึงภาษีความเค็ม เพื่อแก้ไขปัญหานี้

  • ฟินแลนด์: ใช้วิธีที่เน้นการให้ข้อมูล โดยติดฉลากระบุปริมาณโซเดียมในอาหารที่สูง รวมถึงอาหารทะเล ผลลัพธ์ที่ได้คือปริมาณการบริโภคโซเดียมต่อคนต่อวันลดลงจาก 5,600 มิลลิกรัม เหลือเพียง 3,200 มิลลิกรัม และอัตราการเกิดโรคหัวใจลดลงอย่างเห็นได้ชัด
  • อังกฤษ: เน้นการลดปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์หลักๆ เช่น ขนมปังและซอส โดยมีเป้าหมายลดให้เหลือ 3,200 มิลลิกรัม ภายใน 4 ปี
  • ฮังการี: มีการจัดเก็บภาษีความเค็มในอัตราที่ค่อนข้างสูงถึงร้อยละ 15
  • ฝรั่งเศส: เก็บภาษีเค็มในอัตรา 1.5 – 2%
  • แคนาดา: เริ่มเก็บภาษี 1% ในปี 2567
  • หมู่เกาะฟิจิ, เม็กซิโก, ตองกา: เลือกใช้ “ภาษี Junk Food” หรือภาษีอาหารขยะ ซึ่งรวมถึงอาหารที่มีโซเดียมสูงด้วย โดยในเม็กซิโก ผลลัพธ์ที่น่าสนใจคือช่วยลดการซื้ออาหารที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการได้ถึง 5.1%
  • แอฟริกาใต้และอาร์เจนตินา: ใช้วิธีการกำหนดกฎหมายควบคุมปริมาณโซเดียมสูงสุดที่ห้ามเกิน โดยเน้นการปรับเปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไป

ข้อดีของ ‘ภาษีเค็ม’

การเก็บภาษีความเค็มมีข้อดีหลายประการที่คาดว่าจะส่งผลดีต่อสุขภาพของประชาชนและระบบเศรษฐกิจในภาพรวม แบ่งเป็น 3 ส่วนด้วยกัน ตามนี้

  1. บังคับผู้ผลิตให้คิดใหม่ ทำใหม่: ภาษีจะกดดันให้ผู้ผลิตอาหารต้องปรับสูตร ลดปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์ของตน WHO เองก็มีข้อบังคับให้ 4 กลุ่มอาหารหลักที่ควรลดโซเดียม ได้แก่ อาหารกึ่งสำเร็จรูป, เครื่องปรุงรส, อาหารแช่แข็ง และขนมขบเคี้ยว
  2. ผู้บริโภคตื่นตัวมากขึ้น: เมื่อราคาสินค้าที่มีโซเดียมสูงแพงขึ้น หรือมีฉลากที่ชัดเจนขึ้น ผู้บริโภคจะตื่นตัวและใส่ใจในการเลือกซื้ออาหารมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ได้
  3. รัฐมีรายได้เพิ่ม: เงินภาษีส่วนเกินที่จัดเก็บได้ สามารถนำไปจัดสรรเพื่อใช้ในการส่งเสริมสุขภาพของประชาชน การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหารสุขภาพ หรือใช้ในการเยียวยาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

ความท้าทายและข้อเสีย

แม้จะมีข้อดี แต่ภาษีความเค็มก็มาพร้อมกับความท้าทายและข้อเสียหลายประการที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ มาดูกันว่าอะไรบ้างที่หลายคนอาจมองว่าเป็นความท้าทาย ซึ่งก็สามารถแบ่งได้ 5 ข้อด้วยกัน

  1. โซเดียมไม่ได้มาจากเกลืออย่างเดียว: นี่คือประเด็นสำคัญที่ทำให้ภาษีความเค็มซับซ้อนกว่าภาษีน้ำตาล เพราะโซเดียมมีอยู่ในวัตถุดิบธรรมชาติหลายชนิด เช่น ผักสด หรืออาหารทะเล ซึ่งยากต่อการควบคุมและจัดเก็บภาษี
  2. รสชาติและสารทดแทน: การลดเกลือในอาหารทำได้ยาก เพราะเกลือให้รสชาติที่สำคัญ อีกทั้งสารทดแทนอย่างโพแทสเซียมคลอไรด์มักให้รสชาติเค็มที่ติดขม ไม่กลมกล่อม ทำให้ผู้บริโภคไม่คุ้นชิน
  3. ผลต่อการถนอมอาหาร: เกลือเป็นหัวใจสำคัญของการถนอมอาหาร หากไม่มีการทดแทนที่เหมาะสม อาหารอาจเน่าเสียง่ายขึ้น ทำให้มีปัญหาด้านอายุการเก็บรักษา
  4. ภาระผู้ผลิตและผู้บริโภค: ผู้ผลิตรายย่อย (SME) ที่อาจมีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการปรับสูตรหรือการวิจัยสารทดแทนใหม่ ๆ ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น และภาระจะตกไปที่ผู้บริโภคในที่สุด
  5. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ: ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยไม่ได้ดีมากนัก GDP เติบโตช้า และค่าครองชีพก็แพงขึ้น การเก็บภาษีความเค็มอาจทำให้สินค้าไทยแข่งขันในตลาดโลกได้ยากขึ้น

มุมมองและข้อเสนอแนะจาก Beartai

ทีม BT beartai มองว่าแนวคิดเรื่องภาษีความเค็มเป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพของคนไทยในระยะยาว แต่การนำมาใช้ควรเป็นไปอย่าง “ค่อยเป็นค่อยไป” และ “ทำทีละนิด” เพราะโซเดียมมีอยู่ทุกที่ในอาหารที่เราบริโภค เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคตกใจ และเปลี่ยนไปซื้อสินค้าจากผู้ผลิตรายอื่น หรือหันไปบริโภคอาหารที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุม และทางทีมยังมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมสำหรับภาครัฐด้วย ดังต่อไปนี้

  • สนับสนุนนวัตกรรม: รัฐควรสนับสนุนงบประมาณและส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (R&D) ให้ผู้ผลิต โดยเฉพาะ SME ในการหาวิธีถนอมอาหารที่ไม่ต้องพึ่งเกลือมาก หรือหาสารทดแทนที่มีรสชาติดีและเป็นที่ยอมรับ
  • รณรงค์และให้ความรู้: ควรมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องและสร้างสรรค์ เพื่อให้คนไทยตระหนักถึงอันตรายของการบริโภคโซเดียมเกินขนาด และส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมการอ่านฉลากโภชนาการก่อนเลือกซื้อสินค้า
  • ยกเว้นอาหารพื้นบ้าน/วัฒนธรรม: ไม่ควรเก็บภาษีอาหารพื้นบ้าน เช่น น้ำปลา ปลาร้า หรืออาหารสด อาหารทะเล ที่มีโซเดียมตามธรรมชาติสูง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการกินของไทย
  • มาตรการเยียวยาเศรษฐกิจ: การออกนโยบายภาษีใหม่ ๆ ควรมีมาตรการเยียวยาและพยุงเศรษฐกิจควบคู่กันไป เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบซ้ำเติมผู้ประกอบการและผู้บริโภคมากเกินไป

นอกจากนี้ แนะนำว่าควรพิจารณาคำนวณภาษีจาก “เกลือที่เพิ่มในอาหาร” เท่านั้น ไม่ใช่โซเดียมที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เพื่อความเป็นธรรมและไม่กระทบต่ออาหารพื้นบ้าน

ท้ายที่สุด ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าเราอาจจะได้เห็น Gadget ที่ช่วยเพิ่มรสชาติเค็มในอาหาร เช่น เครื่องปรุงรสไฟฟ้า ที่ทำให้เรายังคงได้รับรสชาติที่ถูกใจ โดยไม่ต้องบริโภคโซเดียมในปริมาณมาก ซึ่งจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการจัดการกับปัญหานี้

รับชมเพิ่มเติมได้ที่