12/10/2021
ความกังวลเกี่ยวกับเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลนั้นสามารถส่งผลกระทบต่อการใช้ระบบซอฟต์แวร์ในปี 2564 และนี่คือเหตุผลที่ทำไมบริษัทต่าง ๆ ถึงควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ทั้งบนแพลตฟอร์มของตัวเองและบนระบบของผู้ให้บริการ ระเบียบข้อบังคับด้านความเป็นส่วนตัวกำลังเข้มงวดขึ้นทั่วโลก หลังจากการผ่านกฎระเบียบให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภค (GDPR) ในสหภาพยุโรปแล้ว เราได้เห็นพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ฉบับที่มีผลบังคับใช้ในสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย สำหรับในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นมีความหมายครอบคลุมถึงกฎหมายเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลและความเป็นส่วนตัวหลายประการ ระเบียบข้อบังคับด้านความเป็นส่วนตัวนั้นกำลังเข้มงวดขึ้นมากอย่างแน่นอน ซึ่งนักพัฒนาไม่เพียงแต่ต้องกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้สำหรับแอปพลิเคชันของตนเองเท่านั้น แต่ยังต้องตระหนักถึงนโยบายความเป็นส่วนตัวสำหรับบริการที่พวกเขาเข้าร่วมและแบ่งปันข้อมูลด้วย โดย Apple ได้เปิดตัวฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัวบน iOS 14 ใหม่สำหรับ iPhone และ iPad ในต้นปี 2564 ซึ่งกำหนดให้นักพัฒนาต้องขออนุญาตผู้ใช้งานติดตามและรวบรวมข้อมูลบนเว็บไซต์และแอปมือถือ กฎระเบียบที่เพิ่มขึ้นมานี้สามารถส่งผลให้ประเภทของแอปพลิเคชันที่นักพัฒนาต้องการสร้างขึ้นในปีหน้าเปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ การทำงานระยะไกลยังเพิ่มความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและความปลอดภัย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด การควบคุมการเข้าถึงข้อมูลและแบบฟอร์มการรับรองความถูกต้องจะมีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงเหล่านี้ ผู้บริโภครับรู้การเฝ้าระวังเพิ่มสูงขึ้น สำหรับบริษัทเทคโนโลยีหลายๆแห่ง ข้อมูลของผู้ใช้นั้นนับเป็นแหล่งรายได้หลัก โดยเฉพาะบริษัทที่เสนอผลิตภัณฑ์ของตนแบบ "ฟรี" นั้นยิ่งเป็นความจริงอย่างที่สุด คำว่าฟรีไม่เคยมีจริง อย่างน้อยก็ไม่ใช่ทางออนไลน์ เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ต้องพึ่งพารายได้จากการโฆษณาเพื่อเพิ่มผลกำไร ผู้บริโภคที่เชี่ยวชาญก็กำลังกลั่นกรองนโยบายคุกกี้บนเว็บไซต์มากขึ้นเรื่อย ๆ การติดตามเบราว์เซอร์ที่Google เสนอซึ่งรู้จักกันในชื่อ Federated Learning of Cohorts (FLoC) ถูกนำมาใช้เนื่องจากผู้บริโภคปฏิเสธคุกกี้มากขึ้น ส่วนขยายของการดำเนินธุรกิจกำลังสร้างปัญหาต่อความเป็นส่วนตัว คุณคงเคยได้ยินคำว่า “ถ้าคุณไม่จ่ายเงิน คุณนั่นแหละคือสินค้า” ธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยรูปแบบการโฆษณาออนไลน์ได้ขยายแนวคิดนี้ออกไปอีกว่า "ถ้าคุณไม่จ่ายเงิน คุณ เพื่อนของคุณ และครอบครัวของคุณคือสินค้า" บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำหลายแห่งเฝ้าติดตามการกระทำ การคลิก และการสนทนาของผู้ใช้อย่างไม่ลดละ โดยมีแรงจูงใจหลักในการค้นพบนิสัยและความสนใจส่วนตัว ข้อมูลนี้ถูกจัดอย่างประณีตลงไปใน "กลุ่มตลาดที่ดำเนินการได้" ถูกจัดรวม และขายให้กับผู้โฆษณาที่เสนอราคาสูงสุด เพื่อที่พวกเขาจะได้กำหนดเป้าหมายให้กับข้อความของตนไปยังผู้บริโภคที่มีแนวโน้มจะซื้อ การติดตามผู้ใช้เพื่อแสดงโฆษณากลายเป็นการเฝ้าระวังเสริม ซึ่งเป็นคำที่เราใช้ที่ Zoho เมื่อบริษัทรวบรวมข้อมูลโดยที่ผู้บริโภคไม่รับรู้ แนวโน้มนี้เริ่มต้นจากบริการ B2C แต่น่าตกใจที่เห็นว่าบริการดังกล่าวได้ขยายไปสู่โลก B2B โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความสำคัญของระบบ SaaS ที่จำเป็นสำหรับการทำงานจากระยะไกลในช่วงการแพร่ระบาด ซึ่งจากการสำรวจทั่วโลกของเรา บริษัท 62% ไม่แจ้งให้ลูกค้าทราบว่าพวกเขาอนุญาตให้ใช้การติดตามจากบริการของบุคคลที่สามบนเว็บไซต์ของตน แม้ว่าส่วนใหญ่จะอ้างว่ามีนโยบายความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้บริโภคที่ชัดเจนและมีการบังคับใช้อย่างเคร่งครัดก็ตาม สำหรับ Zoho นั้นระบบของเราไม่ใช้คุกกี้ของบุคคลที่สามและใช้กระทั่งคลาวด์ส่วนตัวของเราเอง ดังนั้นแม้แต่ข้อมูลการใช้งาน ก็ไม่มีการรั่วไหลไปยังผู้ให้บริการคลาวด์สาธารณะ ความหมายของประเด็นนี้ต่อธุรกิจ ในปัจจุบัน หน่วยงานกำกับดูแลกำลังตื่นตัวและดำเนินการมากขึ้น รัฐบาลในยุโรป อินเดีย และที่อื่น ๆ เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากพวกเขาเข้าใจดีว่ารูปแบบธุรกิจเทคโนโลยีในปัจจุบันจำนวนมากดำเนินการโดยพึ่งพิงการละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค ซึ่ง GDPR ของสหภาพยุโรป หรือ PDPA ในสิงคโปร์ นับเป็นตัวอย่างบางส่วนที่เกิดขึ้นจากการตอบสนองด้านกฎระเบียบนี้ นอกจากนี้แล้ว ภาระในการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคกลับไปตกอยู่กับธุรกิจมากขึ้นเรื่อย…