เมื่อพูดถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในตลาดปัจจุบัน หลายคนมักนึกถึงแบรนด์รถไฟฟ้าจากประเทศจีนเป็นอันดับต้น ๆ เพราะตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีนมีการเติบโตและพัฒนาอย่างก้าวกระโดด บทความนี้ BT beartai พาสำรวจเบื้องหลังความสำเร็จที่ทำให้จีนกลายเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของโลก แม้ว่าตอนนี้ผู้ประกอบการรถยนต์ไฟฟ้ารายย่อยในจีนบางส่วนเริ่มล้มหายตายจากไปแล้ว

อะไรที่ทำให้จีนกลายเป็นเบอร์หนึ่งของผู้นำรถยนต์ไฟฟ้า ?

ภาพลักษณ์ “Made in China” คือภาพจำว่าประเทศจีนกลายเป็นผู้ผลิตสินค้าราคาถูกและไร้คุณภาพ แต่ตอนนี้ภาพลักษณ์เหล่านั้นกำลังถูกลบไป เมื่อจีนได้เข้าสู่สถานะผู้นำนวัตกรรมระดับโลก คำถามสำคัญคือ จีนผงาดขึ้นมาเป็นคู่แข่งทางการค้าที่น่าเกรงขามที่สุดของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปได้อย่างไร โดยเฉพาะตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ?  

ต้องยอมรับเลยว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจีนได้พลิกโฉมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ความสำเร็จนี้ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากการวางยุทธศาสตร์ระยะยาวที่ชัดเจนและแน่วแน่ที่จะขึ้นแท่นเป็นผู้นำในตลาดรถ EV

จีนรู้ดีว่าการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยียานยนต์สันดาปเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก เมื่อเทียบกับยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ที่คร่ำหวอดในวงการนี้มานาน แทนที่จะลงแข่งสนามเดิม จีนจึงเลือกที่จะสร้างสนามแข่งขันใหม่ โดยหันไปทุ่มเทให้กับเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นเรื่องใหม่และมีความเสี่ยงสูง

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีนครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 

ความสำเร็จของจีนไม่ได้มาจากโชคช่วย แต่เกิดจากการวางแผนระยะยาวที่ชัดเจน โดยมีปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้จีนครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้าได้

  1. การสนับสนุนจากภาครัฐ รัฐบาลจีนมีบทบาทสำคัญในการผลักดันตลาด EV ผ่านนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ทั้งการให้เงินอุดหนุนโดยตรงแก่ผู้ซื้อ, การลดหย่อนภาษี และการลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สถานีชาร์จทั่วประเทศ นอกจากนี้ โครงการ “Trade-in” ที่สนับสนุนให้ประชาชนเปลี่ยนรถยนต์สันดาปคันเก่ามาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ยังช่วยกระตุ้นยอดขายให้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างมหาศาล
  2. ความได้เปรียบด้านราคา ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีนสามารถพัฒนารถยนต์ที่มีราคาเข้าถึงง่ายเมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น อีกทั้งหลายบริษัทยังคิดค้นนวัตกรรมการขับขี่ใหม่ ๆ ขึ้นเอง ซึ่งช่วยให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในจีนมีข้อได้เปรียบของประสิทธิภาพและราคา
  3. ตลาดในประเทศที่แข็งแกร่ง ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศจีนนั้นสูงมาก รถยนต์หลายรุ่นที่ขายดีติดอันดับโลกนั้นจำหน่ายเฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขนาดและความสำคัญของตลาดภายในที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตและนวัตกรรมรถ EV จีน

หัวใจแห่งความสำเร็จ คือ แบตเตอรี่

จุดแข็งที่แท้จริงและทำให้จีนทิ้งห่างคู่แข่ง คือการควบคุมห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่ ซึ่งเป็น “หัวใจ” ของรถยนต์ไฟฟ้า

จีนควบคุมการผลิตและแปรรูปแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการผลิตแบตเตอรี่ เช่น ลิเทียม โคบอลต์ และกราไฟต์ ได้กว่า 60-80% ของตลาดโลก ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนและปริมาณการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ช่วงก่อนหน้านี้ เราอาจเห็นกระแสความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในการส่งออกแร่หายาก (Rare earth) จากจีนไปสหรัฐฯ ซึ่งข้อมูลจาก Reuters ชี้ว่าจีนมีสัดส่วนในการผลิตแร่ธาตุหายากประมาณ 90% ของโลก

นอกจากนี้ ผู้ผลิตแบตเตอรี่ยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง CATL และ BYD ยังมุ่งเน้นการพัฒนาแบตเตอรี่ชนิด Lithium Iron Phosphate (LFP) ซึ่งมีข้อดีคือ ราคาถูกกว่า มีความปลอดภัยสูงกว่า และมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า ซึ่งตอบโจทย์ในแง่ของราคาและการใช้งาน รวมไปถึงการแก้ Pain point ของรถไฟฟ้า อย่างการชาร์จแบตเตอรี่ ด้วยเทคโนโลยีการชาร์จที่ดีและเร็วขึ้นเรื่อย ๆ

แนวโน้มการเติบโตของตลาดรถ EV จีน

รถยนต์ไฟฟ้ายังเป็นกระแสที่ได้รับความนิยมอย่างไม่มีตก ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยีทำให้รถยนต์ไฟฟ้ายังคงเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง จากยอดขายในปี 2024 ทะลุ 11 ล้านคัน ซึ่งมากกว่ายอดขายรถ EV ทั่วโลกรวมกันเมื่อสองปีก่อน และคิดเป็นเกือบ 2 ใน 3 ของรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดที่ขายได้ทั่วโลก

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 จีนขายรถยนต์ไฟฟ้าได้ถึง 10,891,000 คัน เติบโตขึ้น 10.7% จากปีก่อนหน้า แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในตลาดรถ EV อย่างชัดเจน

โดยมีผู้นำอย่าง BYD ที่โดดเด่นด้วยยอดขายที่ทำลายสถิติอย่างต่อเนื่อง ความแข็งแกร่งของ BYD และแบรนด์จีนอื่น ๆ ไม่ได้มาจากรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) เพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากการครองตลาดรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงจากผู้บริโภคชาวจีน เนื่องจากตอบโจทย์การใช้งานที่ยืดหยุ่นกว่า

การที่จีนขึ้นแท่นเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้เป็นเพียงเพราะการผลิตรถยนต์ราคาถูก แต่เป็นผลมาจากวิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์ของภาครัฐ การสร้างตลาดภายในที่แข็งแกร่ง และที่สำคัญที่สุดคือการควบคุมเทคโนโลยีแบตเตอรี่และห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ซึ่งเป็นรากฐานที่ทำให้จีนไม่ใช่แค่ผู้ตาม แต่เป็นผู้กำหนดเกมในอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต