หลายชาติที่เปิดรับให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศแบบง่าย ๆ มักเจอกับปัญหาการเกิดอาชญากรรมที่เพิ่มขึ้น ประเทศไทยเองก็เจอปัญหานี้เช่นกัน แม้ว่าหลังจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการเพิกถอนวีซ่าของต่างชาติที่กระทำความผิดก็ตาม แต่ก็มีการเปลี่ยนชื่อ นามสกุล ปลอมแปลงวีซ่า เพื่อกลับเข้ามาทำความผิดอีก แต่จะดีกว่าไหมถ้าเราสามารถแก้ไขได้ตั้งแต่ต้นเหตุ ?

พลตำรวจโท อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติและผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจคนเข้าเมือง ได้เสนอแนวคิดและอภิปรายเกี่ยวกับ “ระบบการลงทะเบียนและแนวทางการพัฒนาเพื่ออนาคตของประเทศ” ผ่านรายการ “หนุ่ย Talk & Chill” ร่วมกับคุณหนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ

พลตำรวจโท อาชยน ไกรทอง เสนอว่า ประเทศไทยควรพิจารณาการออกหมายเลข 13 หลักให้กับชาวต่างชาติทุกคน ที่เดินทางเข้ามาเพื่อใช้เป็นเลขกำกับตัวตน (ไม่ใช่เพื่อการได้รับสัญชาติไทย) โดยเลขชุดนี้จะเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลชีวภาพ (Biometrics) เช่น ลายนิ้วมือ และใบหน้า ซึ่งเป็นข้อมูลที่แท้จริงและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้สามารถตรวจสอบและติดตามประวัติการเดินทางและการกระทำต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยระบุว่า “คนไทย กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้แจกจ่ายบัตรประชาชน 13 หลัก เพราะเลข 13 หลักก็จะมีคาแรกเตอร์อยู่ว่าตัวเลขนี้บ่งบอกถึงอะไร เราก็สามารถจะ Generate (สร้าง) เลข 13 หลักที่บ่งบอกถึงคนต่างชาติได้ ถ้าเกิดเราบอกว่าตัวเลขถัดไปเป็นทวีป ถัดไปเป็นประเทศ และถัดไปเป็นจำนวนคนที่เข้ามาของประเทศนั้น มันน่าจะไปได้นะ”

โครงสร้างของเลข 13 หลักสำหรับชาวต่างชาติอาจถูกออกแบบให้มีความหมายเฉพาะตัว โดยสามารถบ่งบอกถึงทวีป ประเทศต้นทาง และลำดับการเข้ามาในประเทศได้ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการบูรณาการข้อมูลร่วมกันกับหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ซึ่งเป็นการสร้างฐานข้อมูลกลาง เนื่องจากการมีเลขประจำตัวเพียงชุดเดียวสำหรับชาวต่างชาติ จะช่วยให้หน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ เช่น ตม. สาธารณสุข และสรรพากร สามารถเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างเป็นระบบ ทำให้สามารถติดตามและตรวจสอบประวัติของแต่ละบุคคลได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น

ซึ่ง พลตำรวจโท อาชยน กล่าวเพิ่มเติมว่า “13 หลักนี้จะเป็น 13 หลักกลางที่จะให้กระทรวงสาธารณสุข คมนาคม ศุลกากร สรรพสามิต เอาไปใช้เช็กได้ว่าคนเหล่านี้เมื่อเข้ามาแล้ว มีหลักฐานทางการแพทย์ยังไง โดยเฉพาะแรงงาน ซึ่งมองว่าสำคัญกว่าต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยว”
ข้อดีของไอเดียนี้หากเกิดขึ้นจริงจะช่วยในการสร้างระบบและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐฯ คัดกรองอาชญากรได้แม่นยำขึ้น เมื่อผูกเลข 13 หลักเข้ากับข้อมูลข้อมูลชีวภาพ (Biometrics) เช่น ลายนิ้วมือและใบหน้า จะทำให้การยืนยันตัวตนมีความแม่นยำสูง แม้ว่าชาวต่างชาติจะเปลี่ยนชื่อหรือปลอมแปลงพาสปอร์ตก็ตาม รวมถึงจะช่วยส่งเสริมความโปร่งใส เนื่องจากระบบนี้ช่วยลดช่องว่างที่อาจนำไปสู่การทุจริตหรือการใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย เพราะทุกการกระทำจะถูกบันทึกในระบบกลาง
อย่างไรก็ตาม หากมองในมุมที่กว้างขึ้น แนวคิดนี้อาจมีช่องโหว่บางส่วนอยู่ เนื่องจากปัญหาไม่ได้อยู่ที่การลงทะเบียน ปัญหาหลักของอาชญากรรมข้ามชาติในไทยอาจไม่ได้เกิดจากการขาดระบบลงทะเบียนเพียงอย่างเดียว แต่อาจมาจากปัจจัยอื่นที่ซับซ้อนกว่า เช่น การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ, การทุจริตของเจ้าหน้าที่ หรือการควบคุมชายแดนธรรมชาติที่ทำได้ยาก จนเกิดช่องให้ชาวต่างชาติที่กระทำความผิดสามารถหลบหนีหรือเข้ามาในประเทศโดยไม่ผ่านการลงทะเบียนได้ตั้งแต่ต้น และแม้จะมีระบบที่ดี แต่การบังคับใช้กับคนเข้าเมืองผิดกฎหมายที่ไม่ได้ผ่านช่องทางปกติ เช่น เข้ามาทางช่องทางธรรมชาติ จะยังคงเป็นเรื่องยาก ซึ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าการมีระบบลงทะเบียน
รวมไปถึงข้อกังวลเรื่องการเก็บข้อมูลที่ละเอียดอ่อน อย่างข้อมูลชีวภาพของชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก อาจก่อให้เกิดความกังวลด้านความปลอดภัยของข้อมูล และหากระบบไม่มีการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม อาจเสี่ยงต่อการถูกแฮกหรือนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิดได้
ฉะนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องในการออกกฎอาจจะต้องพิจารณาให้รอบด้าน เพื่อปิดช่องโหว่ที่จะกลายเป็นปัญหาในอนาคต และเพื่อให้ได้กฎที่มีประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติที่เป็นรูปธรรมจริง ๆ