ในโลกที่สมาร์ตโฟนกลายเป็นปัจจัยที่ห้า Caviar คือแบรนด์ที่ฉีกทุกกฎเกณฑ์และนิยามคำว่า ‘หรูหรา’ ขึ้นใหม่ ด้วยการเปลี่ยน iPhone อุปกรณ์สื่อสารที่ทุกคนคุ้นเคย ให้กลายเป็นผลงานศิลปะชิ้นเอกที่สะท้อนถึงรสนิยมและสถานะของผู้ครอบครองได้อย่างไม่มีใครเทียบ

ถ้าพูดถึงคาเวียร์ เชื่อว่าหลายคนจะนึกถึงไข่คาเวียร์ราคาสูงที่หากินได้ยาก ถูกไหม ? แต่คาเวียร์ที่เราจะพูดถึงในบทความนี้คือแบรนด์จากประเทศรัสเซียที่เปลี่ยนของใช้ให้กลายเป็นเครื่องประดับคนรวย มาพร้อมคอนเซปต์การยกระดับสินค้าที่เป็นของใช้ทั่วไปให้มีระดับ หรือมี ‘คลาส’ มากขึ้น

อาจจะเพราะชื่อที่ตั้งใจให้ดู ‘แพง’ ตั้งแต่แรก จึงทำให้แบรนด์คาเวียร์เป็นแบรนด์ที่มีราคาสูงพอสมควร หากใครติดตามข่าวสารจากทาง BT น่าจะเคยเห็นผ่าน ๆ ตาอยู่บ้าง โดยเฉพาะเคสไอโฟนที่ออกแบบมาเพียง 19 ชิ้นในโลกเท่านั้น และมีราคาที่สูงแตะ 3 แสนบาท ขายความ Exclusive แบบใหม่และความ Unique แบบสับสุด ๆ 

ประวัติแบรนด์ Caviar : เมื่อเทคโนโลยีกับวัสดุเลอค่ากลายเป็นสิ่งเดียวกัน 

Caviar คือแบรนด์ระดับสากลที่เชี่ยวชาญด้านการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรูหราแบบสั่งทำพิเศษ (Custom Luxury Class Devices) โดยมีจุดเด่นคือการผสาน เทคโนโลยีขั้นสูง เข้ากับ วัสดุล้ำค่า อย่างทองคำ เพชร หนังธรรมชาติ คาร์บอน เศษส่วนอุกกาบาต (Meteorites) และเหล่าวัตถุหายากทั้งหลาย

Caviar เขามีจุดเด่นที่ดึงความสร้างสรรค์ไปผสมผสานกับโปรดักต์เพื่อให้แสดงถึง สถานะ (Status) และ ความพิเศษเฉพาะตัว (Exclusivity) ของเจ้าของ โดยการแปลงอุปกรณ์ธรรมดาให้เป็นงานศิลปะที่ไม่เหมือนใครผ่านฝีมือช่างผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบเครื่องประดับ จึงมีสินค้าจากจากไลน์การผลิตมากมายตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา 

อย่างไรก็ตาม ในเดือนเมษายน 2022 แบรนด์ได้มีการปรับโครงสร้าง โดยแยกออกเป็นสองบริษัทอิสระ ได้แก่ Caviar Russia และ Caviar International ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ดูไบ และดำเนินงานแยกจากแบรนด์รัสเซีย แม้จะยังมีการใช้การพัฒนาร่วมกันบ้างสำหรับคอลเลกชันใหม่ แต่การผลิตและการบริการลูกค้าได้ดำเนินการแยกจากกันอย่างชัดเจน

แต่ละคอลเลกชันของ Caviar ล้วนมีเรื่องราวและแรงบันดาลใจที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นคอลเลกชันที่ได้แรงบันดาลใจจากเรือนเวลาชั้นสูง, รถยนต์ซูเปอร์คาร์, บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่สัญลักษณ์แห่งอำนาจ ทำให้ iPhone จาก Caviar ไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์เทคโนโลยี แต่เป็น “เครื่องประดับ” ที่บ่งบอกตัวตนและบารมีของผู้เป็นเจ้าของอย่างแท้จริง

ด้วยราคาที่เริ่มต้นตั้งแต่หลักแสนบาทไปจนถึงหลายสิบล้านบาทสำหรับรุ่นสั่งทำพิเศษอย่าง “Diamond Snowflake” ที่ประดับด้วยทองคำขาว 18K และเพชรมากถึง 570 เม็ด Caviar ได้วางตำแหน่งตัวเองอย่างชัดเจนในตลาดสินค้าฟุ่มเฟือยระดับสูงสุด (Ultra-Luxury) สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ไม่ต้องการความธรรมดา และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อสะท้อนความสำเร็จในชีวิต

ซึ่งประวัติของแบรนด์เริ่มต้นด้วยการเปิดตัวสมาร์ตโฟนเครื่องแรกที่เน้นการปรับแต่งตามสั่ง (Haute Customization) เพื่อเชื่อมโยงนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเข้ากับงานศิลปะเครื่องประดับ 

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา Caviar ได้สร้างสรรค์ผลงานที่เป็นที่กล่าวถึงอย่างต่อเนื่อง อาทิ 

  • การเปิดตัว iPhone 4 ในปี 2012 มูลค่า 6,490 – 7,030 เหรียญสหรัฐฯ  (211,314 – 228,884 บาท)
  • Tesla iPhone X ที่มาพร้อมระบบชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์ในปี 2017 มูลค่า 4,587 เหรียญสหรัฐฯ (149,398 บาท)
  • การสร้างชื่อด้วย iPhone 11 Tourbillon ที่มีกลไกนาฬิกา Tourbillon ชั้นสูงติดตั้งอยู่บนตัวเครื่องในปี 2019 มูลค่า 70,340 เหรียญสหรัฐฯ (2,290,973 บาท)
  • ในปี 2022 ก็ได้สร้างสถิติด้วย iPhone 14 Pro Max ที่มีราคาสูงที่สุดในโลก พร้อมการประดับนาฬิกา Rolex Daytona มูลค่ากว่า 134,250 – 135,420 เหรียญสหรัฐฯ ! (4,370,160 – 4,408,015 บาท)

และล่าสุดกับ ‘Caviar Rich Colors: A New Vision of iPhone 17 Pro and iPhone Air’ iPhone 17 ทั้ง 2 รุ่นที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง อย่างทอง ไทเทเนียม และหนังจระเข้ กับราคาที่เริ่มตั้งแต่ 10,000 – 12,700 เหรียญสหรัฐฯ (413,512 บาท) 

จากของใช้ธรรมดาสู่สินค้าราคาแพง : คอนเซปต์หลักของ Caviar 

หลาย ๆ แบรนด์ไฮเอนด์ในท้องตลาดมักจะผลิตสินค้าออกมาเพื่อเน้นดีไซน์และสถานะทางสังคม แต่ Caviar แตกต่างจากแบรนด์สินค้าไฮเอนด์ทั่วไป เพราะแม้ว่าจะเน้นการขายสินค้าที่ใช้สำหรับเป็นเครื่องประดับและบ่งบอกสถานะทางสัมคม Caviar ยังคงผลิตสินค้าที่เน้นฟังก์ชันอยู่ แบรนด์สินค้าเครื่องประดับทั่วไปมักจะเน้นขายผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบและผลิตเองทั้งหมด เช่น กำไลข้อมือของ Pandora หรือกระเป๋าของ Louis Vuitton แต่ Caviar จะเน้นการผลิตสินค้าที่อิงจากอุปกรณ์ที่มีอยู่แล้วอย่างเคสมือถือที่ได้เกริ่นไป

ด้วยแนวคิดหลักของแบรนด์ที่ว่า ‘Caviar, the world-renowned maison of exclusive smartphones and luxury accessories’ ความน่าสนใจของ Caviar จึงอยู่ที่การ ‘ยกระดับ’ และความ ‘Exclusive’ ซึ่งเป็นแก่นหลักที่เกิดขึ้นจากการที่ Caviar เลือกใช้อุปกรณ์ของแบรนด์อื่น เช่น iPhone มาเป็นพื้นฐาน แล้วนำมาผลิตเคสหรือดัดแปลงเพื่อเพิ่มมูลค่า มีดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร และผลิตในจำนวนจำกัด เพื่อเพิ่มความพิเศษและสร้างความหรูหราอย่างเต็มรูปแบบ

นิยามใหม่ของ ‘ความหรูหราเฉพาะบุคคล’

Caviar มักสร้างความเชื่อมโยงกับบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างสม่ำเสมอ โดยมีการกล่าวอ้างถึงบุคคลเหล่านี้ว่าเป็น ‘เพื่อนของ Caviar’ (Friends of Caviar) หรือผลิตผลงานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากบุคคลสำคัญต่างๆ

ลูกค้าหรือผู้ที่ได้รับการระบุว่าเป็น ‘เพื่อนของ Caviar’ ครอบคลุมบุคคลจากหลากหลายวงการ อาทิ นักกีฬาชื่อดังอย่าง คอเนอร์ แมคเกรเกอร์ (Conor McGregor) นักมวยสากลอาชีพ และ รอย โจนส์ จูเนียร์ (Roy Jones Jr.) นักมวยในตำนาน รวมถึงบุคคลสำคัญในแวดวงการเมืองและราชวงศ์ เช่น ชีกห์ฮัมดาน บิน มุฮัมมัด อาล มักตูม (Hamdan Bin Mohammed Bin Rashid Al Maktoum) มกุฎราชกุมารแห่งดูไบ และ ชีกห์โมฮาเหม็ด บิน ซายิด อัลนะฮ์ยาน (Mohammed bin Zayed Al Nahyan) ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากนี้ ยังมีศิลปินและนักดนตรี อาทิ เฟรด เดิสท์ (Fred Durst) นักร้องนำวง Limp Bizkit และ ทิลล์ ลินเดอมันน์ (Till Lindemann) นักร้องนำวง Rammstein รวมไปถึงผู้มีอิทธิพลในโลกออนไลน์ด้านเทคโนโลยีและยานยนต์ เช่น มาร์เกส คีธ บราวน์ลี (Marques Keith Brownlee) อีกด้วย

นอกจากรายชื่อผู้ใช้ดังกล่าว Caviar ยังได้สร้างสรรค์คอลเลกชันลิมิเต็ดอิดิชันสุดพิเศษ โดยการนำเอาชิ้นส่วนหรือลายเซ็นของบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์และบุคคลร่วมสมัยมาประดับบนผลิตภัณฑ์ ซึ่งรวมถึง อีลอน มัสก์ (Elon Musk), สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs), ไมเคิล แจ็กสัน (Michael Jackson), เดอะ บีเทิลส์ (The Beatles), มูฮัมหมัด อาลี (Muhammad Ali), คริสเตียโน โรนัลโด (Cristiano Ronaldo) และ มาริลีน มอนโร (Marilyn Monroe) ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ผูกโยงกับความหรูหราและความเป็นตำนาน

Caviar ไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์ที่ขายอุปกรณ์เสริม แต่ยังเป็น ‘Exclusive Maison’ ที่สร้างสรรค์งานศิลปะไฮเอนด์ด้วยการผสานเทคโนโลยีเข้ากับงานหัตถศิลป์เครื่องประดับได้อย่างลงตัว

นี่คือแบรนด์ที่ตอกย้ำความแตกต่างจากคู่แข่งทั่วไปอย่างชัดเจน เพราะเป้าหมายไม่ได้อยู่ที่การผลิตเคส แต่คือการมอบความพิเศษเฉพาะตัวที่สะท้อนบุคลิกและความมั่งคั่งของเจ้าของอย่างไม่มีใครเทียบได้ ทำให้ Caviar เป็นผู้นำในการนิยามความหรูหราของอุปกรณ์ดิจิทัลในตลาดโลกอย่างแท้จริง