วันที่ 4 ตุลาคม 2021 กลายเป็นวันที่โลกต้องจดจำ เมื่ออาณาจักรโซเชียลมีเดียของ Facebook (ปัจจุบันคือบริษัท Meta) ซึ่งรวมถึง Instagram, WhatsApp และ Messenger ล่มสลายหายไปจากอินเทอร์เน็ตพร้อมกัน 6 ชั่วโมง ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานกว่า 3,500 ล้านคนทั่วโลก
ความโกลาหลเริ่มต้นขึ้นเมื่อผู้คนไม่สามารถรีเฟรชฟีดหรือส่งข้อความได้ ทำให้แพลตฟอร์มคู่แข่งอย่าง Twitter จึงกลายเป็นที่ลี้ภัยชั่วคราว นี่ไม่ใช่แค่ “แอปล่ม” ทั่วไป แต่เป็นวิกฤตการณ์ครั้งเลวร้ายที่สุดของบริษัทนับตั้งแต่ปี 2008
โดยมีสาเหตุมาจากความผิดพลาดภายในเพียงครั้งเดียว ไม่ใช่การโจมตีจากภายนอก ภายใน 6 ชั่วโมงแห่งความเงียบงันนี้ ได้สร้างความเสียหายมหาศาล และเผยให้เห็นความเปราะบางของโลกที่พึ่งพาเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เพียงรายเดียว
เบื้องหลังความล่มสลาย
ต้นกำเนิดของหายนะครั้งนี้เกิดจากการบำรุงรักษาระบบตามปกติ วิศวกรได้รันคำสั่งที่มีข้อบกพร่องเพื่อประเมินเครือข่ายภายใน (Backbone) แต่ระบบตรวจสอบอัตโนมัติกลับล้มเหลว ไม่สามารถหยุดคำสั่งอันตรายนั้นได้ ผลลัพธ์คือ คำสั่งดังกล่าวได้ตัดการเชื่อมต่อระหว่างศูนย์ข้อมูล (Data Center) ของ Facebook ออกจากโลกอินเทอร์เน็ต
ความหายนะที่แท้จริงเกิดจากกลไกความปลอดภัยของ Facebook เอง เมื่อเซิร์ฟเวอร์ DNS (เปรียบเหมือน “สมุดโทรศัพท์อินเทอร์เน็ต” ที่บอกที่อยู่เว็บ) ไม่สามารถติดต่อศูนย์ข้อมูลได้ มันจึงถูกตั้งโปรแกรมให้หยุดประกาศเส้นทาง BGP (เปรียบเหมือน “GPS” ที่นำทางข้อมูล)
พูดง่าย ๆ คือ Facebook สั่งลบตัวเองออกจากแผนที่อินเทอร์เน็ต ทำให้ไม่มีคอมพิวเตอร์เครื่องใดในโลกสามารถหาที่อยู่หรือเส้นทางที่จะเดินทางไปถึงเซิร์ฟเวอร์ได้อีก แม้ว่าเซิร์ฟเวอร์จะยังทำงานอยู่ก็ตาม
ผลกระทบไม่ได้จำกัดแค่ภายนอก ภายในองค์กรเองก็เกิดวิกฤต เมื่อระบบล่ม เครื่องมือสื่อสารภายใน อีเมล หรือแม้แต่ระบบรักษาความปลอดภัยก็อัมพาตไปด้วย สถานการณ์เลวร้ายถึงขั้นที่พนักงานไม่สามารถใช้คีย์การ์ดสแกนเข้าอาคารหรือศูนย์ข้อมูลเพื่อเข้าไปแก้ไขปัญหาได้
เมื่อการแก้ไขทางไกลเป็นไปไม่ได้ บริษัทต้องส่งทีมวิศวกรเข้าไปรีเซ็ตระบบด้วยมือที่ศูนย์ข้อมูลในแคลิฟอร์เนีย แต่กระบวนการนี้ก็ล่าช้าอย่างมากเพราะมาตรการรักษาความปลอดภัยทางกายภาพที่เข้มงวดของศูนย์ข้อมูลเอง
เหตุการณ์นี้เผยให้เห็นจุดอ่อนร้ายแรงที่ Facebook ไม่ได้แยกเครือข่ายสั่งการและควบคุมออกจากเครือข่ายที่ให้บริการผู้ใช้ทั่วไป ทำให้เกิดภาวะที่เครื่องมือสำหรับแก้ปัญหาก็ถูกทำลายจากปัญหาเดียวกันนั้นเอง
ความเสียหายทางการเงินและวิกฤตความเชื่อมั่น
ภายใน 6 ชั่วโมง Facebook สูญเสียรายได้จากโฆษณาไปกว่า 60 ล้านเหรียญ (ราว 2,000 ล้านบาท) ราคาหุ้นดิ่งลงเกือบ 5% ในวันเดียว ส่งผลให้ความมั่งคั่งส่วนตัวของ Mark Zuckerberg หายไปกว่า 6,000 ล้านเหรียญ
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไม่ได้ตอบสนองเพียงแค่รายได้ที่หายไป 6 ชั่วโมง เพียงหนึ่งวันหลังจากที่ Frances Haugen อดีตพนักงาน ออกมาแฉข้อมูลภายในว่าบริษัทให้ความสำคัญกับผลกำไรมากกว่าความปลอดภัยของผู้ใช้
การล่มสลายของระบบครั้งนี้จึงตอกย้ำภาพลักษณ์ว่าบริษัทไม่เพียงแต่มีปัญหาด้านจริยธรรม แต่ยังขาดความสามารถในการควบคุมเทคโนโลยีของตนเอง นี่คือการลงมติ “ไม่ไว้วางใจ” ครั้งใหญ่จากนักลงทุน
เมื่อชีวิตและธุรกิจทั่วโลกหยุดชะงัก
ความเสียหายขยายวงกว้างไปไกลกว่าตัวเลขการเงิน ธุรกิจขนาดเล็กหลายล้านรายที่พึ่งพา Facebook, Instagram และ WhatsApp ในการสื่อสารและปิดการขาย ต้องหยุดชะงักทันที
ผลกระทบยิ่งรุนแรงในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งแอปในเครือ Meta เปรียบเสมือนโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ต ในบราซิล ธุรกิจที่รับออเดอร์ผ่าน WhatsApp ต้องสูญเสียรายได้ทั้งวัน ที่น่าสะเทือนใจคือในพื้นที่ขัดแย้ง เช่น ซีเรีย ที่ใช้ WhatsApp แจ้งเตือนภัยการทิ้งระเบิด หรือในอัฟกานิสถาน ที่ใช้เป็นช่องทางส่งเงินกลับบ้าน ช่องทางสื่อสารที่สำคัญต่อชีวิตเหล่านี้ถูกตัดขาดลงอย่างสิ้นเชิง เหตุการณ์นี้พิสูจน์ให้เห็นว่าความผิดพลาดจุดเดียวในแคลิฟอร์เนีย สามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วโลกได้
ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของ Facebook ไม่ได้มาจากแฮกเกอร์ภายนอก แต่มาจากความผิดพลาดง่ายๆ ภายใน ที่ถูกขยายผลโดยระบบอันซับซ้อนที่บริษัทสร้างขึ้นเอง ความเงียบงัน 6 ชั่วโมงในวันนั้น คือสัญญาณเตือนภัยที่ดังก้อง ให้ภาคธุรกิจต้องกระจายความเสี่ยง และให้สังคมตระหนักถึงอันตรายของการพึ่งพิงโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกควบคุมโดยบริษัทเพียงแห่งเดียว