ในขณะที่โลกกำลังหมุนเข้าสู่ปี 2026 ด้วยความเร็วแสงของ AI และ Automation แต่เมื่อหันกลับมามองรากฐานของธุรกิจไทย โดยเฉพาะ SMEs และภาคการเกษตร เรากลับพบความจริงที่น่าตกใจว่า หลายภาคส่วนยังคงติดอยู่ในยุค “Industry 2.0” ที่ใช้แรงงานคนและสัญชาตญาณในการตัดสินใจ
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการตามเทรนด์ไม่ทัน แต่มันคือ “ความเสี่ยงระดับชาติ” ที่หากเราไม่ขยับตัว ประเทศไทยอาจสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาลถึง 1.8 ล้านล้านบาท สถานการณ์นี้จึงนำมาสู่การผนึกกำลังครั้งสำคัญระหว่าง True Digital Group (TDG) ผู้นำด้าน Tech Solution และ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เพื่อสร้างจุดเปลี่ยนผ่านนวัตกรรมที่จับต้องได้จริง
Digital Intelligence Fabric: โครงสร้างพื้นฐานที่ ‘ถักทอ’ ทุกสิ่งเข้าด้วยกัน
ในฝั่งของภาคเอกชน คุณเอกราช ปัญจวีณิน หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านดิจิทัล จากทรู คอร์ปอเรชั่น ได้นำเสนอวิสัยทัศน์ที่ก้าวข้ามการขายซอฟต์แวร์ หรือแอปพลิเคชันแบบเดิมไปสู่สิ่งที่เรียกว่า Digital Intelligence Fabric (DIF)
ทำไมต้องเป็น Fabric หรือ ผืนผ้า ? เปรียบเทียบง่าย ๆ คือ ในอดีตองค์กรต่าง ๆ มักซื้อเทคโนโลยีเป็นชิ้น ๆ (Silos) กล้องวงจรปิดแยกส่วนหนึ่ง ระบบบัญชีอีกส่วนหนึ่ง ระบบขนส่งก็อีกแอปฯ หนึ่ง ข้อมูลกระจัดกระจายไม่เชื่อมต่อกัน ทำให้เกิดความซับซ้อนและวัดผลลัพธ์ไม่ได้
TDG เลยออกแบบ Digital Intelligence Fabric ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลยุคใหม่เปรียบเสมือน “เส้นใย” ที่ถักทอ 3 สิ่งสำคัญเข้าด้วยกันจนกลายเป็นผ้าผืนเดียวกัน
- การหลอมรวม (Integration): เชื่อมต่อเทคโนโลยีที่กระจัดกระจายให้คุยภาษาเดียวกัน
- นวัตกรรมที่ใช้ได้จริง (Innovation at Scale): เปลี่ยนจากแค่การทดลอง (PoC) ให้กลายเป็นการใช้งานจริงในวงกว้าง
- ความเร็ว (Acceleration): เร่งผลลัพธ์ทางธุรกิจให้เกิดขึ้นทันที ไม่ต้องรอเป็นปี
โดยมีแกนกลางคือ AI ที่แทรกซึมอยู่ในทุกอณู ตั้งแต่ระบบ Cloud, IoT, Cyber Security ไปจนถึง Data Platform ซึ่งคุณเอกราชเน้นย้ำว่า ระบบนิเวศใหม่นี้ต้องเป็น Open Architecture หรือสถาปัตยกรรมแบบเปิดที่ยืดหยุ่น เชื่อมต่อได้กับทุกค่าย ไม่ปิดกั้น
คุณเอกราชได้ขยาย 8 องค์ประกอบหลักของ Digital Intelligence Fabric ไว้ดังนี้
- Vertical Cloud with Embedded Security : คลาวด์อัจฉริยะที่ฝังระบบความปลอดภัยมาให้ในตัว ช่วยลดความเสี่ยง ลดภาระทีมไอที และขยายระบบได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทุนด้าน Cybersecurity เพิ่ม
- Connectivity & IoT Platform : แพลตฟอร์มเชื่อมต่ออุปกรณ์และเซ็นเซอร์ทุกชนิด (IoT) เข้าด้วยกันแบบไร้รอยต่อ เพื่อเก็บข้อมูลมาวิเคราะห์และควบคุมระบบต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- Computer Vision AI : โซลูชันอัปเกรดกล้องวงจรปิดเดิมให้เป็นกล้อง AI อัจฉริยะโดยไม่ต้องเปลี่ยนใหม่ สามารถวิเคราะห์ แจ้งเตือน และตรวจสอบความผิดปกติได้แบบเรียลไทม์
- Connected Building & Energy Management : ระบบบริหารจัดการอาคารและพลังงานอัตโนมัติ ช่วยควบคุมการใช้ไฟและแอร์เพื่อลดต้นทุน พร้อมรายงาน Carbon Footprint ตอบโจทย์ ESG
- Smart Logistics & Supply Chain : ระบบจัดการขนส่งและคลังสินค้าอัจฉริยะ ใช้ข้อมูล Telemetric วิเคราะห์เส้นทางและพฤติกรรมคนขับ เพื่อลดอุบัติเหตุและค่าใช้จ่าย
- Data & AI Platform : แพลตฟอร์มข้อมูลแบบ No-code / Low-code ที่ใช้งานง่าย ช่วยให้องค์กรสร้าง Dashboard หรือโมเดล AI ได้เร็วขึ้น พร้อมผสานข้อมูลจาก Telco เพื่อประโยชน์สูงสุด
- Managed Cybersecurity : บริการดูแลความปลอดภัยไซเบอร์ครบวงจรตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยบริหารความจัดการเสี่ยงและดูแลเรื่อง Compliance ลดภาระการหาบุคลากรและเครื่องมือเอง
- Digital Skill & Development : หลักสูตรพัฒนาคนและสร้างวัฒนธรรมองค์กรดิจิทัล เน้นการ Upskill & Reskill ด้าน Data, AI, Cyber และ Cloud ให้พนักงานพร้อมรับมือเทคโนโลยีใหม่ ๆ
นอกจากนี้ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป มองข้ามช็อตไปถึงปี 2026 ว่าเราจะเห็นเทรนด์เทคโนโลยีที่เปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิง อย่าง Robotics Break-free ที่หุ่นยนต์จะไม่อยู่แค่ในโรงงานอุตสาหกรรมอีกต่อไป แต่จะออกมาอยู่และร่วมทำงานร่วมกับมนุษย์ในชีวิตประจำวัน หรือ AI Action Model ที่ AI จะไม่ได้แค่ “คุย” (Language Model) แต่จะเริ่ม “ทำ” สิ่งต่าง ๆ แทนมนุษย์ได้

โจทย์ใหญ่ของไทย : จาก Gut Feeling สู่ Data Driven
ดร.พรีสันต์ รักวาทิน จาก depa ได้ฉายภาพความจริงที่เจ็บปวดแต่ต้องยอมรับว่า ผู้ประกอบการไทยกว่า 3.2 ล้านราย และภาคการเกษตรอีก 8 ล้านครัวเรือน ส่วนใหญ่ยังคงบริหารงานโดยใช้ความรู้สึก (Gut Feeling) การตัดสินใจบนความว่างเปล่าของข้อมูลทำให้เราสูญเสียประสิทธิภาพและต้นทุนไปอย่างมหาศาล
กำแพงที่ขวางกั้น SMEs ไทยไม่ใช่แค่เรื่องเงินทุน แต่คือความเชื่อมั่นผู้ประกอบการไม่มั่นใจว่าเทคโนโลยีที่ลงทุนไปจะปลอดภัยไหม ? ใช้ได้จริงหรือเปล่า ? หรือจะโดนหลอกเรื่องราคาหรือไม่ ?
depa จึงก้าวเข้ามาในฐานะผู้กำหนดมาตรฐาน ด้วยการสร้างตราสัญลักษณ์ d-SURE เพื่อการันตีมาตรฐานความปลอดภัย (Safety), ฟังก์ชันการใช้งาน (Functionality) และความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) พร้อมกับมาตรการทางภาษีที่จูงใจถึง 200% สำหรับบริษัทใหญ่ที่เข้ามาช่วยซื้อบริการดิจิทัลให้ SMEs นี่คือการปูพรมแดงเพื่อให้เทคโนโลยีไหลลงสู่ฐานรากได้ง่ายขึ้น
การบรรจบกันของนโยบายจากรัฐและเทคโนโลยีจากเอกชน
การร่วมมือกันครั้งนี้สะท้อนให้เห็นจิ๊กซอว์ที่กำลังจะสมบูรณ์ ภาครัฐอย่าง depa ทำหน้าที่ปลดล็อกความกลัวและอุปสรรคด้านต้นทุนผ่านบัญชีบริการดิจิทัลและมาตรฐาน d-SURE ในขณะที่ภาคเอกชนอย่าง True Digital Group ทำหน้าที่สร้างเครื่องมือผ่านโครงสร้างพื้นฐาน Digital Intelligence Fabric ที่ทำเรื่องยากให้ง่าย และทำเรื่องซับซ้อนให้เป็นระบบอัตโนมัติ (Automation)
เมื่อมาตรฐานความเชื่อมั่นของรัฐ มาเจอกับโครงสร้างอัจฉริยะของเอกชน อาจพาประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง และสร้างผลผลิตของประเทศได้อย่างยั่งยืนในยุคของเทคโนโลยี