ปี 2025 กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของโลกการทำงาน ทั้งกระแสต่อต้านนโยบายด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม วิกฤตเศรษฐกิจ พายุการเลิกจ้างครั้งใหญ่ที่สะเทือนไปทั้งวงการเทคฯ ที่ทำให้หลายคนเริ่มสั่นคลอนและต้องกอดงานไว้ให้แน่น
ตามรายงานจาก McKinsey ระบุว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า บริษัทกว่า 92% เตรียมเพิ่มงบลงทุน AI เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2026 คำถามสำคัญคือ วัฒนธรรมองค์กรจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน ? เตรียมรับมืออย่างไรได้บ้าง ? และนี่คือ 5 เทรนด์สำคัญที่คนทำงานต้องรู้
1. เลิกกลัว AI แย่งงาน รู้จักใช้แต่ไม่ใช่ถูกกลืน
ตลอดปีที่ผ่านมา เราเห็นพาดหัวข่าวอยู่เสมอว่า AI จะเข้ามาแย่งงาน ไม่ว่าจะสายงานผลิตหรือพนักงานออฟฟิศ แต่ผลวิจัยปี 2025 จาก Budget Lab ของมหาวิทยาลัย Yale ชี้ให้เห็นว่า หลังจาก ChatGPT เปิดตัว เมื่อราว ๆ 2-3 ปี ก่อน และมีการนำ AI มาใช้กับการทำงานจริง กลับส่งผลกระทบในเชิงลบน้อยกว่าที่คิด
แต่สิ่งที่น่าจับตามองจริง ๆ ไม่ใช่ว่า AI จะมาแทนที่มนุษย์เมื่อไหร่ แต่เป็นเราจะใช้ AI ทำงานกันอย่างไรมากกว่า ผลสำรวจจาก Pew Research Center พบว่าพนักงาน 21% ของแรงงานสหรัฐฯ ยอมรับว่าใช้ AI เป็นตัวช่วย นั่นหมายความว่า ในปี 2026 สิ่งที่องค์กรหรือพนักงานต้องโฟกัสอาจจะไม่ใช่กลัวว่า AI จะเข้ามาแย่งงาน แต่คือการไม่พึ่งพา AI มากเกินไป จนกระทบกับคุณภาพและความถูกต้อง
2. พื้นที่ปลอดภัยทางใจ คือสิ่งที่ต้องใส่ใจมากขึ้น
สำหรับปี 2025 สถานการณ์ของการเลิกจ้างถาโถมเป็นพายุลูกใหญ่ หลายองค์กรลดนโยบายด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (DEI) จนอาจนำไปสู่การกัดเซาะความปลอดภัยทางจิตใจและความไว้วางใจของพนักงานต่อองค์กร
ข้อมูลจาก Workmonitor ของ Randstad ปี 2025 ระบุตัวเลขที่น่าตกใจว่า มีพนักงานเพียง 49% ที่ยังไว้ใจนายจ้างว่าจะสามารถสร้างวัฒนธรรมในที่ทำงานที่เอื้อให้ทุกคนเติบโตได้ ขณะที่งานวิจัยจาก Mental Health First Aid England ย้ำว่า พนักงานรู้สึกว่าการปรับลดนโยบายและโครงการต่าง ๆ ทำให้พวกเขาไม่สามารถเป็นตัวเองในที่ทำงานได้อย่างเต็มที่
ในปี 2026 องค์กรที่จะอยู่รอด ไม่ใช่องค์กรที่ตัดงบเก่ง แต่เป็นองค์กรที่ให้ความเป็นธรรม ความไว้วางใจ และทำให้พนักงานรู้สึกว่าที่นี่คือพื้นที่ปลอดภัยที่พวกเขาจะเติบโตได้อย่างเต็มที่ นี่คือโจทย์ที่ผู้นำองค์กรต้องตระหนักถึง
3. ไม่มีอีกแล้วคำว่า “อดทนจนกว่าจะแลนด์”
ในปี 2026 ไม่มีอีกแล้วคำว่า “อดทน” ซึ่งเราจะเห็นแนวโน้มที่ชัดเจนว่า พนักงานเริ่มใช้เสียงของตัวเองผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องความคุ้มครองที่มากขึ้น การรวมตัวประท้วง หรือการใช้โซเชียลมีเดียเป็นกระบอกเสียง
ซึ่ง TikTok ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่กลายเป็นพื้นที่ระบายประสบการณ์เชิงลบที่อัดอั้นมานาน หากรู้สึกว่า องค์กรปฏิบัติไม่เป็นธรรม หรือสภาพแวดล้อมการทำงานเป็นพิษ พวกเขาก็พร้อมที่จะลุกฮือสู้กลับ ซึ่งองค์กรเองก็ต้องเตรียมรับมือกับแรงต้านและร่วมหาทางแก้ไขเพื่อให้เดินหน้าต่อ
4. ค่านิยมองค์กรต้องคลิกกับคนทำงาน
รายงาน Workmonitor ของ Randstad ปี 2025 เผยว่า คนหางานเกือบครึ่ง พร้อมปฏิเสธงาน หากค่านิยมของบริษัทไม่ตรงกัน โดยเฉพาะเรื่องสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นกว่าปี 2024 ยิ่งไปกว่านั้น 29% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า “เคยลาออก” เพราะรับไม่ได้กับทัศนคติของผู้บริหาร
ดังนั้น ในปี 2026 บริษัทที่มีวัฒนธรรมองค์กรสวนทางกับที่ประกาศไว้ จะเจอปัญหาใหญ่ในการดึงดูดคนเก่ง เพราะคนทำงานยุคนี้ต้องการทำงานกับองค์กรที่เห็นคุณค่าและความจริงใจมากกว่าคำสวยหรู
5. ภาพลักษณ์องค์กร สะท้อนตัวตนแบรนด์
รายงาน Edelman’s 2025 Brand Trust ยืนยันว่า ผู้บริโภคยุคนี้ไม่ได้ซื้อแค่สินค้า แต่ซื้อวัฒนธรรมและจุดยืนขององค์กรด้วยเช่นกัน หากแบรนด์ทำอะไรที่ขัดกับค่านิยมหรือไปจับมือกับพาร์ตเนอร์ที่มีปัญหา พลังแห่งการแบน จะทำงานทันที เหล่าผู้คนจะรวมตัวกันคว่ำบาตร
สำหรับแบรนด์ที่เพิกเฉยต่อเสียงผู้บริโภคก็จะพบกับบทลงโทษที่รุนแรงที่สุด นั่นคือการถูกลบออกจากสารบบความสนใจ และกำไรที่หดหายไปตามระเบียบ ซึ่งในไทยเองก็มีตัวอย่างให้เห็นมากมายบนโซเชียล

ดังนั้น ทิศทางการทำงานในปี 2026 นี้ อาจไม่ใช่แค่อัปสกิลหรือโฟกัสด้านเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่คือการที่องค์กรเข้าใจ โอบรับความแตกต่าง และมีสภาพแวดล้อมการทำงานที่สอดคล้องกับการทำงานยุคใหม่