Meta Platforms กำลังเผชิญศึกเดือดกับรัฐบาลประเทศต่าง ๆ กับเรื่องการจ่ายเงินค่าเนื้อหาข่าวบน Facebook ให้กับสำนักข่าว

แต่เรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากอะไร ทำไมประเทศต่าง ๆ ถึงพยายามบังคับให้ Meta จ่ายเงินส่วนแบ่งให้กับวงการสื่อ

เนื้อหาข่าวบนโซเชียลมีเดีย

ในยุคที่สื่อสิ่งพิมพ์กำลังสูญพันธุ์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันชาวเน็ตโดยมากเข้าดูเนื้อหาข่าวผ่านโซเชียลมีเดีย และสื่อต่าง ๆ ก็ต้องพึ่งพาโซเชียลมีเดียในการเผยแพร่เนื้อหา รวมถึงเรียกยอดเข้าชม

รายงานในปี 2019 ของมหาวิทยาลัยแคนเบอร์ราชี้ว่า ชาวออสเตรเลียมากกว่าครึ่งหนึ่งที่ค้นหาข่าวบนโซเชียลมีเดีย

เช่นเดียวกับผลการสำรวจของ Pew Research Center ในปี 2021 ที่ชี้ว่าเกินครึ่งของชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่ที่อ่านข่าวผ่านโซเชียลมีเดีย

โซเชียลมีเดียกลายมาเป็นช่องทางหลักในการเข้ารับข่าวสาร (ที่มา Reuters Institute บน Ecoconsultancy)

แต่สำนักข่าวกลับประสบความยากลำบากด้านรายได้ โดยเฉพาะสื่อท้องถิ่น และการเก็บค่าสมาชิกบนเว็บไซต์ของตัวเองเพียงอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ดำเนินธุรกิจต่อไปได้

ในทางกลับกัน รายได้โฆษณาที่เกิดขึ้นระหว่างการเข้าชมเนื้อหาข่าวกลับไหลไปเว็บไซต์อื่น ๆ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียที่เป็นเจ้าของช่องทางนำเสนอข้อมูลแทบจะเป็นเบ็ดเสร็จ

นี่ทำให้รัฐบาลหลายประเทศผุดไอเดียให้โซเชียลมีเดียมาช่วยกอบกู้วงการสื่อมวลชนในประเทศขึ้นมา

ทำไม Facebook ต้องจ่ายค่าเนื้อหาข่าว

ในปี 2021 รัฐบาลออสเตรเลียออกกฎหมายต่อรองสื่อข่าว (News Media Bargaining Code – NMBC) ที่บังคับให้ Facebook และ Google ต้องจ่ายเงินให้กับสำนักข่าวจากการนำเนื้อหาข่าวมาไว้บนแพลตฟอร์มของตัวเอง

รัฐบาลออสเตรเลียมองว่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและสำนักข่าวพึ่งพาซึ่งกันและกัน

บริษัทโซเชียลมีเดียได้รายได้จากยอดเข้าชมเนื้อหาข่าวที่เผยแพร่อยู่บนแพลตฟอร์มของตัวเอง และผู้ผลิตข่าวก็จำเป็นต้องพึ่งพาโซเชียลมีเดียในการเป็นแพลตฟอร์มวางเนื้อหาข่าว จึงจำเป็นต้องมีการสร้างข้อตกลงระหว่างกันที่จะช่วยให้สำนักข่าวได้รับเงินส่วนแบ่งจากโซเชียลมีเดียอย่างเหมาะสม

รัฐบาลออสเตรเลียอ้างว่าการบังคับใช้ NMBC ประสบความสำเร็จ เจ้าของสื่อสามารถทำข้อตกลงกับโซเชียลมีเดียที่นำไปสู่การเติบโตของวงการสื่อในประเทศ ผ่านการเพิ่มอัตราพนักงานและขยายสำนักงาน

ประเทศอื่นเอาด้วย

กฎหมาย NMBC กลายเป็นต้นแบบให้หลายประเทศนำมาตรการเหล่านี้มาใช้เพื่อช่วยเหลือจุนเจือสำนักข่าวภายในประเทศ โดยเห็นตรงกันว่าในเมื่อโซเชียลมีเดียได้ประโยชน์จากเนื้อหาข่าว ก็ควรตอบแทนให้เหมาะสม

เริ่มจากแคนาดาที่พยายามเข้ามาจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างสำนักข่าว แต่เปิดช่องให้โซเชียลมีเดียต่อรองค่าตอบแทนได้ โดยมีขั้นต่ำอยู่ที่ 4% ของรายได้ที่โซเชียลมีเดียได้รับ

ตามมาด้วยสหราชอาณาจักร สหรัฐฯ นิวซีแลนด์ และมาเลเซีย ที่ออกมาตรการคล้าย ๆ กัน

แพลตฟอร์มออนไลน์ยึดกุมเอาเนื้อหาข่าวไปเสริมความมั่งคั่งให้กับแพลตฟอร์มตัวเอง แต่ไม่เคยจ่ายเงินตอบแทนน้ำพักน้ำแรงที่สื่อใช้ในการรายงานข่าว

เดวิด ซิซิลลีน

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาจากพรรคเดโมแครตและริพับลิกันในสหรัฐฯ ร่วมกันผลักดันรัฐบัญญัติการแข่งขันและการพิทักษ์สื่อ (Journalism Competition and Preservation Act) ที่ให้อำนาจสื่อเจ้าต่าง ๆ ในการรวมตัวกันเพื่อต่อรองค่าแรงได้

เอมี โคลบูชาร์ (Amy Klobuchar) วุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครต ชี้ว่าองค์กรสื่อควรสามารถต่อรองค่าตอบแทนกับแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ครอบครองช่องทางเผยแพร่ข่าวอย่างเป็นธรรม เพื่อเป็นการคุ้มครองเสรีภาพสื่อ

เช่นเดียวกับ เดวิด ซิซิลลีน (David Cicilline) ประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านการต่อต้านการผูกขาด การพาณิชย์ และกฎหมายปกครอง ที่ชี้ว่าแพลตฟอร์มออนไลน์ยึดกุมเอาเนื้อหาข่าวไปเสริมความมั่งคั่งให้กับแพลตฟอร์มตัวเอง แต่ไม่เคยจ่ายเงินตอบแทนน้ำพักน้ำแรงที่สื่อใช้ในการรายงานข่าว

ถอนเนื้อหาข่าวออก

Meta ไม่เห็นด้วยกับมาตรการเหล่านี้ วิธีการที่ใช้ตอบโต้คือการแบนการแปะลิงก์ข่าวหรือถอนเนื้อหาข่าวออกจาก Facebook ในประเทศนั้น ๆ

บางกรณีถึงกับห้ามแปะลิงก์ภายนอกโดยสมบูรณ์ รวมถึงลิงก์จากหน่วยงานของรัฐด้วย

โดยให้เหตุผลว่าการที่สำนักข่าวต่าง ๆ เผยแพร่ข่าวบน Facebook ก็เพื่อประโยชน์ของตัวเองในการเพิ่มการเข้าชมเนื้อหาข่าว ไม่ได้สร้างรายได้ให้กับ Meta จึงไม่ควรมีการบังคับให้บริษัทจ่ายเงินส่วนแบ่งให้กับบรรดาสำนักข่าว

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ปรากฎการณ์เช่นนี้ส่งผลโดยตรงต่อประชาชนที่หวังติดตามข่าวผ่านแพลตฟอร์ม อย่างกรณีไฟป่าในแคนาดา ทำให้ประชาชนขาดช่องทางในการติดตามข่าวสถานการณ์ และสื่อระดับท้องถิ่นไม่สามารถเผยแพร่ข้อมูลการอพยพได้อย่างทั่วถึง

นอกจากนึ้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยควิเบกและมอนทรีออล ในประเทศแคนาดา ยังพบว่าการแบนเนื้อหาข่าวทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าไปดูเนื้อหาคลิกเบตที่เอาเนื้อหาข่าวมายำรวมกัน หรือบิดเบือนให้ดูเกินจริงแทน

ความสัมพันธ์แบบแยกกันไม่ออก

ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนว่าความสัมพันธ์ระหว่างสำนักข่าวกับโซเชียลมีเดียแนบสนิทและสำคัญมากขนาดไหน

การที่สื่อจะผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพต่อไปได้นาน ก็จำเป็นต้องมีรายได้ที่เหมาะสม เพราะต้องใช้ความสามารถและทรัพยากรจำนวนมากในการศึกษาข้อมูลและเข้าถึงแหล่งข่าวต่าง ๆ

แต่สื่อเองก็ไม่สามารถที่จะพึ่งพาตัวเองได้ เพราะสิ่งพิมพ์ที่ล้มหายตายจากไป และความนิยมของโซเชียลมีเดียที่กลายมาเป็นช่องทางหลักในชีวิตประจำวัน

การเข้ามาแทรกแซงของรัฐบาลต่าง ๆ ที่เริ่มเข้ามาบังคับให้โซเชียลมีเดียแบ่งปันรายได้ให้กับสำนักข่าว ก็อาจเป็นทางรอดให้กับสื่อมวลชนให้ถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารได้ต่อไป แต่ทางฝั่งบริษัทโซเซียลมีเดียก็มีช่องทางตอบโต้อย่างหนักอยู่ดีจนอาจทำให้สำนักข่าวไม่รอดได้เช่นกัน

ที่มา The Guardian (1), The Guardian (2), US Senate, Quartz, WIRED UK, Poynter, University of Canberra

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส