ในยุคที่ทุกย่างก้าวของชีวิตถูกบันทึกและจัดเก็บในโลกดิจิทัล เคยจินตนาการหรือไม่ว่าข้อมูลส่วนตัวที่ลึกที่สุดของคุณ ตั้งแต่ภาพถ่ายในวันหยุด, ข้อความส่วนตัว, ไปจนถึงข้อมูลทางการเงิน จะสามารถถูกยึดและใช้เป็นเครื่องมือต่อรองได้ในพริบตา ? นี่ไม่ใช่พล็อตเรื่องในภาพยนตร์ไซไฟ แต่คือความจริงอันน่าสะพรึงของ “การจำนำ iCloud” บริการเงินกู้นอกระบบรูปแบบใหม่ที่กำลังแพร่ระบาดในโลกออนไลน์ เสนอเงินด่วนทันใจ แต่ต้องแลกมาด้วยการมอบกุญแจสู่ตัวตนดิจิทัลของคุณให้กับมิจฉาชีพ

ปฏิบัติการล่าสุดของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ในชื่อ “I Lockdown” ได้ส่องไฟไปยังมุมมืดของธุรกิจนี้ ด้วยการบุกทลายเครือข่ายบริษัทรับจำนำ iCloud รายใหญ่พร้อมกันถึง 4 แห่ง รวมถึงบริษัท “IT Money” ที่โฆษณาตัวเองอย่างเปิดเผยบนโลกโซเชียล การจับกุมครั้งนี้ได้เปิดโปงกลไกอันตรายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความสะดวกสบาย และยืนยันว่านี่คือกับดักหนี้ที่ร้ายแรงกว่าที่หลายคนคาดคิด

ไขความจริงของ iCloud : มากกว่าแค่ที่เก็บข้อมูล แต่คือ “ตัวตนดิจิทัล”

เพื่อที่จะเข้าใจถึงความร้ายแรงของการจำนำ iCloud เราต้องเข้าใจก่อนว่า iCloud ไม่ใช่แค่ “โกดังเก็บไฟล์” บนอินเทอร์เน็ต แต่มันคือศูนย์กลางระบบประสาทที่เชื่อมโยงทุกอุปกรณ์และทุกข้อมูลของคุณในระบบนิเวศของ Apple การมอบ Apple ID และรหัสผ่านให้ใครสักคน เหมือนกับการมอบสิ่งเหล่านี้ให้คนแปลกหน้าในครั้งเดียว

  • อัลบั้มรูปภาพและวิดีโอส่วนตัว : ทุกความทรงจำของคุณ ตั้งแต่ภาพครอบครัวไปจนถึงภาพที่ส่วนตัวที่สุด
  • สมุดรายชื่อและประวัติการโทร : ข้อมูลการติดต่อของทุกคนที่คุณรู้จัก
  • ประวัติข้อความ (iMessage) : ทุกบทสนทนาที่คุณเคยมีกับเพื่อน ครอบครัว หรือคนรัก
  • ข้อมูลสุขภาพ (Health Data) : ข้อมูลการออกกำลังกาย, อัตราการเต้นของหัวใจ และข้อมูลสุขภาพอื่น ๆ
  • รหัสผ่านที่บันทึกไว้ (iCloud Keychain) : รหัสผ่านสำหรับเข้าสู่ระบบแอปพลิเคชันธนาคาร, อีเมล, โซเชียลมีเดีย และบริการอื่น ๆ ทั้งหมดของคุณ
  • ตำแหน่งที่ตั้งแบบเรียลไทม์ (Find My) : ความสามารถในการติดตามว่าคุณอยู่ที่ไหนได้ตลอดเวลา
  • ข้อมูลทางการเงิน (Apple Pay) : ข้อมูลบัตรเครดิตหรือเดบิตที่ผูกไว้

การส่งมอบ Apple ID จึงไม่ต่างอะไรกับการเปลือยชีวิตทั้งชีวิตของคุณให้มิจฉาชีพดู และมอบอำนาจให้พวกเขาสามารถควบคุม สอดส่อง ทำลายชีวิตดิจิทัล หรือแม้แต่ชีวิตจริงของคุณได้ทุกเมื่อ

เจาะลึกกลไก “กับดัก” จากผู้กู้สู่เหยื่อ

กระบวนการล่อลวงเหยื่อเข้าสู่วงจรนี้ถูกออกแบบมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

  1. การล่อลวง : เหยื่อที่กำลังร้อนเงินจะพบเห็นโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย ด้วยข้อความชักจูงและชี้นำว่า “กู้ง่าย ได้เร็ว ไม่เช็กเครดิต” จากนั้นจะถูกชักชวนให้ติดต่อผ่านแอปพลิเคชันแชต
  2. การ “สมัคร” และส่งมอบข้อมูล : ผู้ให้กู้จะขอข้อมูลส่วนตัวพื้นฐาน และที่สำคัญที่สุดคือ Apple ID พร้อมรหัสผ่าน โดยอ้างว่าเพื่อใช้เป็นหลักประกันในการอนุมัติเงินกู้
  3. การยึดบัญชีและจ่ายเงินกู้ : ทันทีที่ได้รหัสผ่าน ผู้ให้กู้จะล็อกอินเข้าสู่บัญชี iCloud ของเหยื่อ และอาจเปลี่ยนแปลงข้อมูลความปลอดภัย เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าของที่แท้จริงเข้าถึงได้อีก จากนั้นจึงโอนเงินกู้จำนวนหนึ่งมาให้ ซึ่งมักจะเป็นจำนวนเงินที่ไม่สูงนัก

เมื่อกระบวนการนี้เสร็จสิ้น เหยื่อได้กลายเป็นตัวประกันอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว หากผิดนัดชำระหนี้แม้เพียงวันเดียว บทลงโทษก็จะเริ่มต้นขึ้น

ฝันร้ายเมื่อผิดนัด : การล็อกเครื่องและแบล็กเมล

เมื่อเหยื่อไม่สามารถชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยมหาโหดได้ทันเวลา ผู้ให้กู้จะใช้ “อาวุธ” ที่อยู่ในมือทันที นั่นคือฟังก์ชัน “Lost Mode” ของ Apple ซึ่งเป็นฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่ออกแบบมาเพื่อใช้ล็อกเครื่องเมื่อโทรศัพท์สูญหาย แต่มิจฉาชีพได้นำมาดัดแปลงใช้เป็นเครื่องมือล็อกโทรศัพท์ของเหยื่อ ทำให้กลายเป็นเพียงที่ทับกระดาษราคาแพงที่ไม่สามารถใช้งานใด ๆ ได้

แต่การล็อกเครื่องเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ฝันร้ายที่แท้จริงคือ การข่มขู่และแบล็กเมลด้วยข้อมูลส่วนตัว มิจฉาชีพจะขู่ว่าจะนำรูปภาพหรือวิดีโอลับไปเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ต, ส่งข้อความประจานไปยังรายชื่อเพื่อนและครอบครัวทั้งหมด หรือนำข้อมูลส่วนตัวไปใช้ก่ออาชญากรรมอื่น ๆ ต่อไป ทำให้เหยื่อตกอยู่ในสภาวะกดดันอย่างรุนแรง และต้องหาเงินมาจ่ายเพื่อยุติปัญหา กลายเป็นวงจรหนี้ที่ไม่สิ้นสุด

ดอกเบี้ยโหด 360% ที่ไม่มีวันถูกกฎหมาย

อัตราดอกเบี้ยที่สูงถึง 360% ต่อปีนั้น เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน ตามกฎหมายไทย การให้กู้ยืมเงินระหว่างบุคคลทั่วไปห้ามคิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี และผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) ที่ได้รับอนุญาต ก็สามารถเรียกเก็บดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมรวมกันได้ไม่เกินร้อยละ 25 ต่อปีเท่านั้น การกระทำของเครือข่ายจำนำ iCloud จึงเข้าข่ายความผิดหลายกระทง ทั้ง “ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต” และ “เรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด” ซึ่งมีโทษทั้งจำและปรับ

เกราะป้องกันตัวและแนวทางแก้ไขเมื่อตกเป็นเหยื่อ

เราสามารถป้องกันตัวเองและคนรอบข้างจากกับดักหนี้ดิจิทัลนี้ได้ด้วยความรู้และความรอบคอบ

แนวทางการป้องกัน

  • กฎเหล็กข้อที่ 1 – ห้ามให้รหัสผ่าน : Apple ID และรหัสผ่านคือของส่วนตัวขั้นสูงสุด ห้ามมอบให้ผู้อื่นเด็ดขาดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
  • เปิดใช้การยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA) : เปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ทันที เพราะมันจะเป็นเกราะป้องกันชั้นที่สอง แม้ว่ามิจฉาชีพจะได้รหัสผ่านของคุณไป ก็จะไม่สามารถล็อกอินได้หากไม่มีรหัสที่ถูกส่งมายังอุปกรณ์ที่เชื่อถือได้ของคุณ
  • เลือกแหล่งเงินกู้ที่ถูกกฎหมาย : หากมีความจำเป็นทางการเงิน ให้ปรึกษาสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทยเท่านั้น

แนวทางแก้ไขเมื่อตกเป็นเหยื่อ

  • ตั้งสติและหยุดจ่ายเงิน : การจ่ายเงินเพิ่มมักจะนำไปสู่การเรียกร้องที่ไม่สิ้นสุด
  • พยายามกู้คืนบัญชีทันที : เข้าไปที่เว็บไซต์กู้คืนบัญชีของ Apple (iforgot.apple.com) และทำตามขั้นตอน เพื่อพยายามดึงบัญชีกลับคืนมาให้เร็วที่สุด
  • รวบรวมหลักฐานทั้งหมด : เก็บภาพหน้าจอการสนทนา, สลิปการโอนเงิน และข้อความข่มขู่ทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน
  • แจ้งความดำเนินคดี : นำหลักฐานทั้งหมดเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจในพื้นที่ หรือกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) พร้อมทั้งร้องเรียนไปที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)

การจำนำ iCloud คืออุทาหรณ์ชิ้นสำคัญของโลกยุคใหม่ ที่ความสะดวกสบายอาจต้องแลกมาด้วยความปลอดภัยทั้งหมดในชีวิต การตระหนักรู้และสร้างภูมิคุ้มกันทางดิจิทัลจึงเป็นทักษะที่จำเป็นที่สุด เพื่อให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างปลอดภัย และไม่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมในรูปแบบที่คาดไม่ถึง