ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ตั้งแต่การถามคำถามกับ ChatGPT, การสร้างภาพด้วย Midjourney ไปจนถึงระบบแนะนำคอนเทนต์บนสมาร์ตโฟน สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นในสมองกลที่เรียกว่า AI Data Center ที่อาจอยู่ห่างไกลจากเราออกไปหลายร้อยหลายพันกิโลเมตร แม้ว่าข้อมูลเหล่านี้จะสร้างความสะดวกให้กับมวลมนุษยชาติ และเพิ่มอัตราการเร่งของเศรษฐกิจและนวัตกรรมที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่การทำงานของมันกลับแลกมาด้วยหลายสิ่งอย่าง นอกเหนือจากค่า Subscription รายเดือน

เบื้องหลังความฉับไวและฉลาดของ AI คือ Data Center หรือศูนย์ข้อมูลขนาดมหึมา ที่เป็นโรงงานแห่งยุคดิจิทัล ทำงานตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด ซึ่งกำลังใช้ทรัพยากรโลกอย่างมหาศาล

AI Data Center โรงงานที่หิวพลังงานตลอดเวลา

ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Data Center ทั่วไปกับ AI Data Center คือลักษณะการทำงาน Data Center แบบดั้งเดิมอาจเปรียบได้กับห้องสมุด ที่เน้นการจัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูล ซึ่งใช้พลังงานเป็นช่วง ๆ แต่ AI Data Center จะเหมือนกับห้องทดลองของนักวิทยาศาสตร์ ที่กำลังคำนวณปัญหาที่ซับซ้อนที่สุดในโลกไปพร้อม ๆ กันนับล้านคำสั่ง มันจึงต้องการพลังงานเพื่อ “คิด” และ “ประมวลผล” อย่างต่อเนื่องและเข้มข้น

การประมวลผลนี้คือชิปประมวลผลกราฟิก (GPU) สมรรถนะสูง ซึ่งกินพลังงานมากกว่า CPU ในคอมพิวเตอร์ทั่วไปหลายเท่า และเมื่อ GPU หลายพันหลายหมื่นตัวทำงานพร้อมกัน ความร้อนมหาศาลที่ถูกปล่อยออกมาก็เป็นอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ ทำให้พลังงานกว่า 40% ของ Data Center ไม่ได้ใช้ไปกับการประมวลผล แต่ใช้ไปกับ ระบบหล่อเย็น (Cooling System) เพื่อไม่ให้เซิร์ฟเวอร์ร้อนจนเกินไป

องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) รายงานว่า ในปี 2022 ศูนย์ข้อมูล, AI และสกุลเงินดิจิทัล ใช้พลังงานไฟฟ้ารวมกันคิดเป็นสัดส่วนถึง 2% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งโลก และคาดการณ์ว่าความต้องการพลังงานนี้ อาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2026 ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้พลังงานของประเทศญี่ปุ่นทั้งประเทศ นี่คือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับความก้าวหน้าทางปัญญาประดิษฐ์ที่เรากำลังใช้งานกันอยู่

ไม่ใช่แค่ไฟฟ้า แต่ AI กำลัง “ดื่ม” น้ำในปริมาณมหาศาล

ผลกระทบไม่ได้หยุดอยู่แค่การใช้ไฟฟ้า แต่ยังรวมถึงการใช้น้ำด้วย ระบบหล่อเย็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะใน Data Center ขนาดใหญ่ ใช้วิธีการระเหยของน้ำ (Evaporative Cooling) เพื่อระบายความร้อน ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงแต่ก็สิ้นเปลืองน้ำอย่างยิ่ง

มีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่า การสนทนากับ ChatGPT ราว 10-50 ประโยค อาจต้องใช้น้ำสะอาดในการหล่อเย็นเซิร์ฟเวอร์ถึง 500 มิลลิลิตร หรือเทียบเท่ากับน้ำดื่มขวดเล็กหนึ่งขวด และเมื่อเราคูณจำนวนผู้ใช้งานหลายร้อยล้านคนทั่วโลกเข้าไป ปริมาณน้ำที่ AI “ดื่ม” เข้าไปในแต่ละวันจึงเป็นตัวเลขที่น่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Data Center หลายแห่งถูกสร้างขึ้นในพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้งอยู่แล้ว

จากมุมมองผู้ใช้ AI สู่ความรับผิดชอบร่วมกัน

ในฐานะผู้ใช้ บางคนอาจรู้สึกว่าผลกระทบเหล่านี้ห่างไกลตัวเรา แต่ทุกครั้งที่เราสั่งงาน AI, สร้างภาพ, หรือแม้แต่ไถฟีดโซเชียลมีเดีย เรากำลังมีส่วนร่วมในห่วงโซ่ของความต้องการพลังงานนี้โดยไม่รู้ตัว แต่ผลลัพธ์สุดท้ายจากความกระหายในพลังงานของ AI Data Center จะวนกลับมาหาเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

แต่ในโลกที่หากเราไม่ใช่หรือตามเทคโนโลยีไม่ทัน เราอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลังไกลขึ้นเรื่อย ๆ การละทิ้งหรือการต่อต้านเทคโนโลยีจึงไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการใช้ชีวิต แต่ทางออกที่เป็นไปได้คือการตระหนักรู้ถึงผลกระทบ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน

ยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีต่างก็ตระหนักถึงปัญหานี้เช่นกัน และกำลังทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อหาทางออก อย่างพลังงานหมุนเวียน บริษัทอย่าง Google, Microsoft และ Amazon กำลังลงทุนในฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมเพื่อป้อนไฟฟ้าให้กับ Data Center ของตนเองโดยตรง

การพัฒนาระบบหล่อเย็นด้วยของเหลว (Liquid Cooling) ซึ่งเป็นการใช้สารหล่อเย็นพิเศษไหลผ่านท่อไปสัมผัสกับชิปที่ร้อนโดยตรง ทำให้ระบายความร้อนได้มีประสิทธิภาพสูงกว่าและใช้น้ำในภาพรวมน้อยกว่าระบบระเหย หรือแม้แต่การสร้าง Data Center ในพื้นที่อากาศหนาวเย็นเพื่อลดภาระของระบบหล่อเย็น

ไปจนถึงการใช้ AI จัดการ AI โดย Google ได้นำ AI ของ DeepMind มาใช้ในการบริหารจัดการพลังงานใน Data Center ของตัวเอง ซึ่งสามารถลดการใช้พลังงานในส่วนระบบหล่อเย็นได้ถึง 40% นับเป็นการใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาที่เทคโนโลยีสร้างขึ้นเอง

ความฉลาดที่แท้จริงต้องมาพร้อมกับความยั่งยืน

AI Data Center เป็นเหมือนดาบสองคมที่มาพร้อมกับต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมที่สูงลิ่ว ซึ่งการเดินทางของ AI เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น และนี่คือช่วงเวลาสำคัญที่เราในฐานะผู้บริโภคและสังคม ต้องพิจารณาก้าวต่อไปของเทคโนโลยีร่วมกันเพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากเทคโนโลยีที่กัดกร่อนโลกแบบเงียบ ๆ ท่ามกลางเสียงผู้คนอันวุ่นวาย

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความฉลาดที่แท้จริงของปัญญาประดิษฐ์ อาจไม่ได้วัดกันที่ความสามารถในการตอบคำถามที่ซับซ้อนที่สุดแค่อย่างเดียว แต่วัดกันที่ความสามารถในการขับเคลื่อนตัวเองไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน