Apple อัปเดต iOS 17.3 มาพร้อมกับฟีเจอร์ Stolen Device Protection หรือฟีเจอร์ที่เอาไว้ใช้เมื่อ iPhone ของเราถูกขโมยไป โดยฟีเจอร์นี้ใช้งานอย่างไร มีรายละเอียดอะไรบ้าง มาดูกันครับ

หลังจากเราเปิดใช้งานฟีเจอร์ Stolen Device Protection เมื่อ iPhone ไปอยู่ในสถานที่ไม่คุ้นเคยระบบจะบังคับให้มีข้อจำกัด 2 อย่างเพื่อไม่ให้ผู้ใช้งานที่ไม่ใช่เจ้าของเครื่องจริง ๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลภายในเครื่องได้แม้ว่าจะรู้ Passcode ได้แก่

  1. ต้องมีการยืนยันตัวตนด้วย Touch ID หรือ Face ID สำหรับการเข้าถึงข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อน เช่น บัตรเครดิต รหัสผ่าน โดยไม่สามารถใช้วิธีการใส่รหัสหรือ Passcode แบบปกติได้
  2. กรณีที่ต้องการเปลี่ยนรหัส เช่น รหัสของ Apple ID จะต้องรอ 1 ชั่วโมง รวมถึงต้องมีการยืนยันตัวตนด้วย Touch ID หรือ Face ID ก่อน

ขั้นตอนเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อ iPhone อยู่ในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคยเท่านั้น หากเราอยู่ในที่ที่อยู่ประจำ เช่น บ้าน ก็จะไม่มีขั้นตอนเหล่านี้เกิดขึ้น แน่นอนว่าการจะใช้งานฟีเจอร์นี้ เราต้องเปิดใช้งานก่อนเนื่องจาก Apple ไม่ได้เปิดมาเป็นค่าเริ่มต้นครับ

วิธีการเปิดฟีเจอร์ Stolen Device Protection

  1. เปิดการใช้งาน Location Services หากไม่เปิดจะไม่สามารถใช้งานได้
  2. ไปที่ Settings > Face ID & Passcode
  3. ใส่รหัสอุปกรณ์
  4. เปิดใช้งานฟีเจอร์ Stolen Device Protection หรือ การปกป้องอุปกรณ์ที่ถูกขโมย

นอกจากการป้องกันการขโมยแล้ว เมื่อเปิดใช้งาน Stolen Device Protection การใช้งาน หรือเปิด/ปิดฟีเจอร์เหล่านี้ก็จะอยู่ในเงื่อนไขเดียวกันกับข้างต้นเพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลเช่นเดียวกัน

  • ฟีเจอร์ iCloud Keychain
  • ชำระเงินผ่าน Payment ที่บันทึกไว้ใน Safari
  • ปิด Lost Mode (สำคัญมาก เอาไว้ตามตอน iPhone หาย)
  • ทำ Reset All Settings และ Erase All Content and Settings
  • สมัคร Apple Card ใหม่ รวมถึงดูหมายเลขบนบัตร
  • ใช้งานฟีเจอร์ Apple Cash และ Savings ในแอป Wallet
  • ใช้ iPhone ในการตั้งค่าอุปกรณ์ใหม่

หากใครคิดว่าเรามีโอกาสที่จะทำ iPhone สูญหายก็แนะนำให้เปิดฟีเจอร์นี้ไว้ครับ เวลาไปสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยก็อาจจะมีความยุ่งยากในการใช้งานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับลำบากเสียทีเดียวครับ

ที่มา Apple

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส