มาร์ก เกอร์แมน (Mark Gurman) ได้เขียนในจดหมายข่าว Power On ล่าสุดให้แก่สำนักข่าว Bloomberg ระบุว่า การที่ Apple ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีรูปลักษณ์คล้ายรุ่นก่อนมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มส่งผลเสียต่อบริษัท โดยอ้างว่า ยอดจำหน่าย iPhone ได้ลดลงต่ำกว่าเมื่อครั้งที่ทำได้อย่างน่าประทับใจในเมื่อปี 2023 และรายได้จากการจำหน่าย Apple Watch ก็ลดลงเช่นกัน ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าลดลงประมาณ 14% จากปี 2024
แม้ยอดจำหน่ายและรายได้โดยรวมจะสูงกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ที่ขาดความสดใหม่ได้ส่งผลกระทบในแง่ลบต่อบริษัททีละน้อย และอนาคตต่อจากนี้ก็ยังไม่มีอะไรแน่นอน
นับตั้งแต่เปิดตัว iPhone X ซึ่งกลายเป็นกระแสในวงกว้างเมื่อปี 2017 เป็นต้นมา Apple เลือกที่จะปรับปรุงผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่เพียงเล็กน้อยมากกว่าจะปรับดีไซน์ใหม่ให้แตกต่างไปจากเดิม กอปรกับการเปิดตัวอุปกรณ์ VR/AR แบบสวมศีรษะรุ่นแรกของบริษัท นั่นคือ Vision Pro ที่ค่อนข้างเงียบ แสดงให้เห็นว่าการเลือกแนวทางที่หลีกเลี่ยงความเสี่ยงนั้นเริ่มไม่ได้ผลอีกต่อไป

นอกจากนี้ ผู้บริโภคสามารถใช้งาน iPhone เครื่องเดิมในระยะยาว และการอัปเกรดฟีเจอร์ใหม่ เช่น Apple Intelligence, แบตเตอรี่ความจุสูงขึ้น หรืออัปเกรดสเปกกล้องเล็กน้อย เป็นต้น ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นล่าช้ากว่าผลิตภัณฑ์จากคู่แข่ง และไม่ได้ถูกพูดถึงวงกว้าง ยิ่งตอกย้ำว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทนั้นขาดความสดใหม่มากพอที่จะทำให้ผู้บริโภครู้สึกตื่นเต้นได้
เกอร์แมนได้อธิบายเพิ่มเติมว่า Apple ยังถูกกดดันจากคู่แข่งมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งตลาดสมาร์ตโฟนพับจอได้เติบโตอย่างรวดเร็วเกือบ 3 เท่า เมื่อเทียบตลาดสมาร์ตโฟนอื่น ๆ ในประเทศ ซึ่งเปิดโอกาสให้คู่แข่งอย่าง Xiaomi และ Honor สามารถรุกในตลาดที่ปราศจาก Apple นี้ได้อย่างเข้มข้น รวมถึงสามารถพัฒนาสมาร์ตโฟนพับจอได้ที่มีบานพับแข็งแร็งขึ้นและหน้าจอสว่างขึ้นเพื่อส่งออกไปยังยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อีกด้วย
นี่เป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการซื้ออุปกรณ์ใหม่ที่น่าสนใจมากขึ้น รวมถึงปัญหากำแพงภาษีจากรัฐบาลสหรัฐฯ ยิ่งส่งเสริมให้ผู้บริโภคมองหาผลิตภัณฑ์จากแบรนด์อื่นนอกเหนือจาก Apple มากขึ้นเรื่อย ๆ

นอกจากนี้ AI (Artificial intelligenc) ยังเป็นอีกตัวเร่งปฏิกิริยาที่สำคัญ ดังเห็นได้จากการค้นหาข้อมูลผ่านเว็บเบราว์เซอร์ของ Google บนอุปกรณ์ Apple ได้ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 22 ปี เนื่องจากผู้บริโภคหันไปใช้แชทบอทที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่าง ChatGP และ Perplexity มากขึ้น และพิสูจน์ให้ Apple เห็นว่าอินเทอร์เฟสของบริการที่เปลี่ยนไปสามารถพลิกโฉมตลาดไปอย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ
เอ็ดดี้ คิว (Eddy Cue) หัวหน้าฝ่ายบริการของ Apple ได้เห็นถึงแนวโน้มของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนี้ และเคยเตือนว่า “อีก 10 ปี จากนี้ คุณอาจไม่จำเป็นต้องใช้ iPhone อีกเลยก็เป็นได้”
ในขณะนี้ Apple ยังมิได้เปิดเผยความคืบหน้าในการพัฒนาสมาร์ตโฟนพับจอได้อย่างชัดเจน รวมถึง Siri ยังไม่ได้รับการปรับปรุงให้รองรับโมเดลภาษาขนาดใหญ่ และต้องรออีก 2 – 3 ปี จึงจะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ประเภทใหม่อย่างแท้จริงของบริษัท ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้ Apple ตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการขาดพลังในการอัปเกรดที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์มาตั้งแต่ปี 2007 ไปอย่างน่าเสียดาย