แซม อัลต์แมน (Sam Altman) ซีอีโอของ OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ได้ไปออกพอดแคสต์ช่อง Theo Von พร้อมได้แสดงความกังวลถึงการที่คนยุคใหม่พึ่งพา AI ในฐานะที่ปรึกษาทุก ๆ เรื่อง ทั้งการเงิน ปัญหาชีวิต หรือบำบัดสุขภาพจิต โดยพร้อมที่จะเล่าเรื่องราวที่มีเนื้อหาละเอียดอ่อนและอ่อนไหวให้กับ AI รับรู้ โดยเขาย้ำในพอดแคสต์ว่าการสนทนาในลักษณะการบำบัดหรือปรึกษากับ AI นั้น ไม่มีการคุ้มครองทางกฎหมาย

ซึ่งต่างจากการที่เราไปพบที่ปรึกษาที่เป็นผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ อย่างนักจิตวิทยา นักบำบัด ทนายความ หรือจิตแพทย์ที่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลละเอียดอ่อนที่ได้เล่าให้กับพวกเขาฟัง หรือ ‘Legal Privilege’ (สิทธิพิเศษในการไม่เปิดเผยข้อมูล)

นั่นหมายความว่า หากผู้ใช้งานเปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดอ่อนที่สุดผ่านการแชตกับ AI แล้วเกิดคดีความหรือการฟ้องร้องขึ้นมาในอนาคต OpenAI อาจถูกบังคับตามกฎหมายให้ส่งมอบข้อมูลบทสนทนาดังกล่าวเพื่อใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลได้ ซึ่งตัวเขาเองมองว่าเป็นปัญหาที่วุ่นวายอย่างมาก และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขและวางแผนรับมือให้เร็วที่สุด

สิ่งที่ตอกย้ำความเสี่ยงนี้คือ นโยบายการจัดการข้อมูลของ OpenAI เอง ซึ่งแตกต่างจากการสนทนาผ่านแอปพลิเคชันที่เข้ารหัสอย่าง WhatsApp หรือ Signal โดย OpenAI สามารถเข้าถึงบทสนทนาระหว่างผู้ใช้กับ ChatGPT ได้ เพื่อวัตถุประสงค์ในการนำข้อมูลไปปรับปรุงประสิทธิภาพของ AI และตรวจสอบการใช้งานในทางที่ผิด

แม้ว่าตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของ OpenAI จะระบุว่าบทสนทนาที่ถูกลบจะถูกลบอย่างถาวรภายใน 30 วัน แต่ก็มีข้อยกเว้นที่สำคัญคือ “เว้นแต่บริษัทจำเป็นต้องเก็บข้อมูลไว้ด้วยเหตุผลทางกฎหมายหรือความปลอดภัย”

ประเด็นนี้ยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่ง The New York Times และสื่ออื่น ๆ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลให้ OpenAI เก็บรักษาบันทึกการใช้งานของผู้ใช้ ChatGPT ทั้งหมด รวมถึงแชตที่ถูกลบไปแล้วไว้โดยไม่มีกำหนด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคดีฟ้องร้องเรื่องลิขสิทธิ์ นี่คือตัวอย่างของการที่ข้อมูลการสนทนาของผู้ใช้สามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางกฎหมายได้ทุกเมื่อ

แมว่าทุกวันนี้การใช้ ChatGPT หรือ AI ตัวอื่นเพื่อขอคำปรึกษาอาจเป็นเรื่องที่สะดวกและเข้าถึงง่าย แต่ผู้ใช้งานต้องตระหนักอยู่เสมอว่าพื้นที่นี้อาจไม่ใช่ “พื้นที่ปลอดภัย” (Safe Space) อย่างแท้จริง ข้อมูลทุกอย่างที่พิมพ์ลงไปอาจไม่ได้รับการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวตามกฎหมาย และมีความเสี่ยงที่จะถูกนำไปใช้เป็นหลักฐานปรักปรำตัวเองหรือผู้อื่นในกระบวนการยุติธรรมได้

ณ เวลานี้ ไม่ว่าใครที่ใช้ AI ทำอะไรก็ตาม ควรใช้ความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดอ่อน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตัวเองในทางกฎหมายได้ในอนาคต