ล่าสุด NASA องค์การอวกาศสหรัฐฯ ประกาศเร่งแผนการสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์บนพื้นผิวดวงจันทร์ให้สำเร็จภายในปี 2030 เบื้องหลังความทะเยอทะยานนี้อาจไม่ได้มีเพียงเป้าหมายทางวิทยาศาสตร์ แต่อาจยังแฝงไปด้วยการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้นระหว่างมหาอำนาจของโลก เพราะแผนการนี้ของ NASA ผุดขึ้นในช่วงหลังจากการประกาศความร่วมมือระหว่างจีนและรัสเซียที่จะสร้างสถานีพลังงานนิวเคลียร์อัตโนมัติบนดวงจันทร์ภายในปี 2035

การสร้างถิ่นฐานบนดวงจันทร์ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านพลังงานอย่างมหาศาล เพราะหนึ่งวันบนดวงจันทร์ยาวนานเท่ากับสี่สัปดาห์บนโลก ซึ่งประกอบด้วยช่วงเวลาที่มีแสงแดดต่อเนื่องสองสัปดาห์ และช่วงเวลาแห่งความมืดมิดอันหนาวเหน็บอีกสองสัปดาห์ การพึ่งพาพลังงานแสงอาทิตย์เพียงอย่างเดียวจึงแทบเป็นไปไม่ได้

NASA จึงได้เรียกร้องข้อเสนอจากบริษัทเอกชน เพื่อสร้างเตาปฏิกรณ์ขนาดเริ่มต้นที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างน้อย 100 กิโลวัตต์ ซึ่งเป็นก้าวแรกที่สำคัญ

ตามรายงานของสื่อสหรัฐฯ ฌอน ดัฟฟี (Sean Duffy) รักษาการหัวหน้า NASA ในขณะนั้น เคยได้แสดงความกังวลต่อการร่วมมือกันของสองชาติมหาอำนาจ จีน-รัสเซีย ว่า “อาจประกาศเขตหวงห้าม (Keep-out zone)” บนดวงจันทร์ ซึ่งอาจตีความได้ว่าเป็นการอ้างกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ดังกล่าวโดยอาศัยข้อตกลงอาร์ทิมิส (Artemis Accords) ที่อนุญาตให้มีการตั้ง “เขตปลอดภัย” รอบสถานที่ปฏิบัติการของตน

แม้แผนการของ NASA จะดูทะเยอทะยานและสร้างความตื่นเต้นให้กับคนที่ได้ยินอย่างมาก แต่ใน NASA เองก็ต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้ายหลายอย่างในการสานฝันนี้

  1. ความย้อนแย้งด้านงบประมาณ : การประกาศเร่งโครงการนี้เกิดขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศตัดงบประมาณของ NASA ในปี 2026 ลงถึง 24% ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงการวิทยาศาสตร์สำคัญมากมาย รวมถึงโครงการนำตัวอย่างจากดาวอังคารกลับสู่โลก (Mars Sample Return) ทำให้นักวิทยาศาสตร์มองว่าแผนการต่าง ๆ ดูไม่สอดคล้องกัน
  2. ความท้าทายด้านความปลอดภัย : การปล่อยวัตถุกัมมันตรังสีผ่านชั้นบรรยากาศโลกเป็นประเด็นที่น่ากังวลและต้องมีใบอนุญาตพิเศษ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านดาวเคราะห์มองว่ามีความเป็นไปได้ แต่ก็ยังคงเป็นข้อจำกัดสำคัญสำหรับภารกิจนี้
  3. การพึ่งพาโครงการอาร์ทิมิส : เหนือสิ่งอื่นใด แผนการทั้งหมดขึ้นอยู่กับความสำเร็จของโครงการอาร์ทิมิส (Artemis) ในการส่งมนุษย์และอุปกรณ์กลับไปเหยียบดวงจันทร์ ซึ่งภารกิจ Artemis 3 มีกำหนดการในปี 2027 แต่ก็เผชิญกับความล่าช้าและความไม่แน่นอนด้านงบประมาณมาโดยตลอด

ดังนั้น บทสรุปของภารกิจพลังงานบนดวงจันทร์จึงยังคงคลุมเครือ ระหว่างความฝันที่จะขยายขอบเขตของมนุษยชาติ กับการแข่งขันเพื่อปักธงชาติบนสมรภูมิทรัพยากรแห่งใหม่ที่อยู่นอกโลก