ดูเหมือนว่ามหากาพย์ความสัมพันธ์ที่ทั้งรักทั้งชังระหว่าง OpenAI และ Microsoft กำลังจะเดินทางเข้าสู่บทใหม่ เมื่อ OpenAI ได้ประกาศว่าบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นแบบไม่ผูกพัน (non-binding MOU) กับ Microsoft ผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุด เพื่อวางรากฐานสำหรับเฟสใหม่ของความร่วมมือ โดยข้อตกลงนี้จะเปิดทางให้ OpenAI ปรับโครงสร้างองค์กรเป็นบริษัทแสวงหากำไร และเตรียมเข้าสู่ตลาดหุ้นในอนาคต

โครงสร้างใหม่ที่พยายามแก้ปัญหาเก่า?

โครงสร้าง OpenAI คือการมีองค์กรแม่ในรูปแบบ บริษัทไม่แสวงหาผลกำไร (Non-profit) ที่มีชื่อว่า OpenAI, Inc. ซึ่งทำหน้าที่กำกับดูแลและควบคุมทิศทางทั้งหมดขององค์กร ภารกิจสูงสุดขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไรนี้คือการชี้นำการพัฒนา AGI ให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อสร้างผลกำไรสูงสุดให้กับนักลงทุน ซึ่งโครงสร้างนี้เองที่นำไปสู่เหตุการณ์ช็อกโลกเมื่อปลายปี 2023 ที่คณะกรรมการสามารถปลด แซม อัลแมน (Sam Altman) ออกจากตำแหน่ง CEO ได้อย่างกะทันหัน ก่อนที่เขาจะกลับมารับตำแหน่งในอีกไม่กี่วันต่อมา

นี่จึงดูเหมือนเป็นความพยายามที่จะสร้างเสถียรภาพให้กับองค์กรมากขึ้น เปรียบเสมือนการเปลี่ยนจากสตาร์ทอัปที่มีโครงสร้างแบบอุดมคติจ๋า ๆ ไปสู่บริษัทที่มีรูปแบบเป็นสากลมากขึ้น เพื่อดึงดูดนักลงทุนและบริหารงานได้คล่องตัวกว่าเดิม

ภายใต้ข้อตกลงใหม่นี้ เบร็ท เทย์เลอร์ (Bret Taylor) ประธานบอร์ดของ OpenAI ระบุว่า องค์กรแม่ที่ไม่แสวงหาผลกำไร (nonprofit) จะยังคงอยู่และมีอำนาจควบคุมการดำเนินงานของบริษัทเช่นเดิม ที่สำคัญคือ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรนี้จะได้รับหุ้นในบริษัท PBC ใหม่คิดเป็นมูลค่าสูงกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3,164,000 ล้านบาท)​

ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะมันสูงกว่าข้อเสนอที่ Elon Musk เคยยื่นขอซื้อกิจการที่ 9.7 หมื่นล้านดอลลาร์เสียอีก อย่างไรก็ตาม ทั้งสองบริษัทย้ำว่านี่เป็นเพียงบันทึกความเข้าใจ (MOU) ที่ยังไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย และกำลังอยู่ระหว่างการร่างสัญญาฉบับสมบูรณ์

การต่อรองที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

เส้นทางสู่ข้อตกลงนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย รายงานหลายกระแสระบุว่าการเจรจาระหว่าง OpenAI และ Microsoft นั้นตึงเครียดมาหลายเดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ OpenAI เติบโตอย่างก้าวกระโดดและพยายามลดการพึ่งพา Microsoft ให้น้อยลง

เราได้เห็นสัญญาณนี้ชัดเจนขึ้นเมื่อ OpenAI หันไปทำข้อตกลงใช้บริการคลาวด์กับ Oracle มูลค่ากว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ และยังร่วมมือกับ SoftBank ในโปรเจกต์ดาต้าเซ็นเตอร์ยักษ์ใหญ่ที่ชื่อว่า Stargate อีกด้วย

การเคลื่อนไหวเหล่านี้ไม่ต่างอะไรกับการที่ศิลปินหน้าใหม่ที่เคยพึ่งพิงค่ายเพลงยักษ์ใหญ่เพียงแห่งเดียว เริ่มประสบความสำเร็จจนสามารถไปร่วมงานกับโปรดิวเซอร์ค่ายอื่น ๆ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานและเพิ่มอำนาจต่อรองของตัวเอง

ความตึงเครียดยังเคยถูกรายงานว่าพุ่งถึงขีดสุด เมื่อ Microsoft ต้องการเข้าควบคุมเทคโนโลยีของ Windsurf สตาร์ทอัปด้าน AI เขียนโค้ดที่ OpenAI วางแผนจะเข้าซื้อ แต่สุดท้ายดีลก็ล่มลง และบุคลากรของ Windsurf ก็ถูกคู่แข่งอย่าง Google ดึงตัวไปแทน สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการชิงไหวชิงพริบและความพยายามในการรักษาผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายมาโดยตลอด

อนาคตที่ยังต้องจับตาและเสียงวิจารณ์ที่ยังไม่จางหาย

แม้จะบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นแล้ว แต่เส้นทางข้างหน้าก็ยังต้องผ่านด่านสำคัญ นั่นคือการอนุมัติจากอัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนียและเดลาแวร์ ซึ่งเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ต้องใช้เวลา

ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นคดีความจาก อีลอน มักส์ (Elon Musk) ที่กล่าวหาว่า OpenAI ละทิ้งภารกิจเดิมเพื่อมวลมนุษยชาติ ไปจนถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอื่น ๆ ที่กังวลว่าการมุ่งสู่การเป็นบริษัทเต็มตัวจะทำให้เป้าหมายในการพัฒนา AGI (Artificial general intelligence) ที่ปลอดภัยและเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมถูกลดทอนความสำคัญลง

ท้ายที่สุดแล้ว การปรับโครงสร้างครั้งนี้คือการเดิมพันครั้งใหญ่ของ OpenAI มันอาจช่วยแก้ปัญหาเรื่องเสถียรภาพและเปิดประตูสู่แหล่งเงินทุนมหาศาล แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญที่สุดว่า องค์กรที่เกิดมาจากอุดมการณ์เพื่อมวลมนุษยชาติ จะสามารถรักษาสมดุลระหว่าง “ภารกิจ” และ “ผลกำไร” ในโลกแห่งความเป็นจริงที่เต็มไปด้วยแรงกดดันจากนักลงทุนและตลาดได้หรือไม่? คงมีแต่เวลาเท่านั้นที่จะให้คำตอบได้