ล่าสุด JEDEC Solid State Technology Association สมาคมที่คอยกำหนดมาตรฐานให้วงการชิปและหน่วยความจำ ที่คุ้นหูคนไอทีอย่าง DDR/LPDDR/HBM ที่เห็นบนแรมคอมพิวเตอร์, GDDR บนแรมการ์ดจอ รวมถึง UFS (ที่ใช้บนสมาร์ตโฟน) ออกมาประกาศว่า “มาตรฐานหน่วยความจำใหม่ UFS 5.0 ใกล้เสร็จแล้ว” พร้อมระบุว่าจะทำความเร็วอ่าน-เขียนตามทฤษฎีได้สูงสุดถึง 10.8 GB/s เร็วกว่า UFS 4.0 ที่ใช้ในสมาร์ตโฟนเรือธงปัจจุบันเกือบ 2 เท่า
โอเคเรารู้แล้วว่ามันดี แต่คำถามคือมันจะดีกับสมาร์ตโฟนยังไง บทความนี้เราจะมาเล่าให้ฟังกัน
UFS 5.0 คืออะไร
ถ้าถามว่า UFS 5.0 หรือ Universal Flash Storage 5.0 คืออะไร ก็ตรงตามชื่อเลยครับ มันคือมาตรฐานหน่วยความจำประเภทหนึ่งที่ใช้บอกว่า “อุปกรณ์นั้น ๆ ใช้เทคโนโลยีที่ใหม่แค่ไหนในการอ่านและเขียนข้อมูล” ส่วนใหญ่เราจะเห็นตัวอักษรย่อนี้บนกล้องดิจิทัล แท็บเล็ต และสมาร์ตโฟนแทบทุกรุ่น
ซึ่งสมาร์ตโฟนระดับเรือธงส่วนใหญ่ในปี 2025 ก็จะใช้เป็นเวอร์ชัน 4.0 แทบทั้งหมด (เว้นแค่ iPhone ที่บอกว่าใช้เทคโนโลยีอะไร) ยกตัวอย่างสมาร์ตโฟนที่ระบุไว้ในหน้าสเปกเลยว่าใช้ UFS 4.0 ก็จะเป็น vivo X200 Pro แต่ถ้าย้อนกลับไป 2-3 ปี เราก็จะเห็นว่าในหลาย ๆ รุ่นจะใช้ UFS 3.1 (เช่น Samsung Galaxy Z Fold 3)
ตามคอมมอนเซนส์เวลาเราเห็นตัวเลขที่สูงกว่า ส่วนใหญ่ก็จะสื่อความหมายที่มันดีกว่า มากกว่า หรือสูงกว่าอยู่แล้ว แต่คำถามคือมันดีกว่าตรงไหน และดีกว่ายังไงล่ะ ? เราได้สรุปตารางความต่างของแต่ละเวอร์ชันไว้ให้อ่านแบบง่าย ๆ ที่ด้านล่างนี้เลย
ตารางเปรียบเทียบมาตรฐาน UFS (Universal Flash Storage)
คุณสมบัติ | UFS 3.0 | UFS 3.1 | UFS 4.0 | UFS 5.0 (กำลังมา) |
ปีที่เปิดตัว | 2018 | 2020 | 2022 | 2025 |
ความเร็วแบนด์วิดท์สูงสุด | 2.9 GB/s | 2.9 GB/s | 5.8 GB/s | 10.8 GB/s |
ฟีเจอร์เด่นที่เพิ่มมา | เพิ่มความเร็วเป็น 2 เท่า, ประหยัดพลังงานมากขึ้น | Write Booster, Deep Sleep | ความเร็ว x2, ประหยัดพลังงานขึ้น 46%, ขนาดชิปเล็กลง | ความเร็ว x2 จากเดิม, ประหยัดพลังงาน เน้นรองรับ AI, ปรับปรุงความเสถียร |
ยุคของสมาร์ตโฟน | 2019-2020 | 2020-2022 | 2022-ปัจจุบัน | คาดว่าจะเริ่มเห็นใน ปี 2027 |
เราจะเห็นว่าในทุกเวอร์ชันที่ใหม่กว่า ความเร็วในการอ่านและเขียน (ตามทฤษฎี) ก็จะสูงขึ้น รวมถึงมีการอัปเกรดบางจุด ตั้งแต่ทำให้ขนาดเล็กลง กินไฟน้อยลง และในเวอร์ชัน 5.0 ที่เพิ่งประกาศออกมาว่าใกล้จะเสร็จแล้วเนี่ย ก็จะมีความเร็วแบบก้าวกระโดด ปรับปรุงความเสถียร และปรับปรุงเรื่องการใช้พลังงาน
โอเคเรารู้ว่าทุกอย่างดีขึ้นแล้ว ขอย้อนกลับไปที่คำถามที่ตั้งไว้ตั้งแต่ช่วงเกริ่นคือ “มันจะดีกับสมาร์ตโฟนยังไงล่ะ ?”
การมาของ UFS 5.0 ดีกับสมาร์ตโฟนยังไง ?
ในมุมมองของผู้เขียน การมาของ UFS 5.0 ถือว่าดีกับวงการสมาร์ตโฟนนะ เพราะทุกปีชิปเซตจะยิ่งมีความแรงสูงขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงมี NPU ที่ทรงพลังขึ้น การที่มีความเร็วในการอ่านและเขียนข้อมูลสูงขึ้นก็เปรียบเหมือนกับถนนที่สร้างมาให้กว้างรองรับกับรถยนต์ (เทียบกับความเร็วของชิป) ที่เร็วขึ้น
และส่วนสมาร์ตโฟนหลาย ๆ รุ่นก็จะพยายามเพิ่มความสามารถให้ AI ประมวลผลข้อมูลงานบนตัวเครื่อง (On-Device) แทนการส่งไปประมวลผลบนคลาวด์ (On-Cloud) เพื่อความเป็นส่วนตัว ทำให้จำเป็นต้องดึงข้อมูลโมเดลไปใช้เยอะขึ้น การที่ UFS 5.0 มีความเร็วสูงขึ้น ก็จะทำให้เวลาเรียกใช้ AI หรือเวลาสลับงาน ก็จะไร้รอยต่อมากกว่าเดิม
นอกจากนี้สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ ๆ ก็มีการอัปเกรดกล้องให้ดีขึ้น เพื่อรองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงขึ้น ลื่นไหลมากขึ้น รวมถึงการถ่ายแบบ LOG ที่ในแต่ละครั้งก็จะสร้างไฟล์ที่มีขนาดโคตรใหญ่ออกมา หากต้องการจะถ่ายแบบต่อเนื่อง การที่มีความเร็วสูงขึ้นก็ทำให้สามารถถ่ายแบบต่อเนื่องได้โดยที่ไม่ต้องรอ
สรุปง่าย ๆ คือ UFS 5.0 จะมีส่วนช่วยให้สมาร์ตโฟนมีประสิทธิภาพสูงขึ้นในหลาย ๆ ด้านนั่นเอง
อีกนานแค่ไหนกว่าจะได้ใช้ ?
แม้มาตรฐาน UFS 5.0 จะประกาศออกมาแล้ว แต่ JEDEC ยังไม่ได้กำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนสำหรับการนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ อย่างไรก็ตามมีรายงานจากสื่อเกาหลีใต้ว่า Samsung ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดหน่วยความจำ ตั้งเป้าจะนำ UFS 5.0 มาใช้จริงในปี 2027
นั่นหมายความว่า กว่าเราจะได้เห็นสมาร์ตโฟนเรือธงอย่าง Samsung Galaxy S27 Series หรือสมาร์ตโฟนเรือธงจากจีนใช้ UFS 5.0 ก็น่าจะต้องรอกันอีกอย่างน้อย 2 ปี ซึ่งในระหว่างนี้ UFS 4.0 และ 4.1 จะยังคงเป็นมาตรฐานหลักในตลาดต่อไป