vivo ได้กลับมาสร้างความร้อนแรงให้ตลาดสมาร์ตโฟนเรือธงอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวรุ่น X300 Pro ในประเทศจีน ซึ่งได้ใช้ศักยภาพจากชิปเซตเรือธงล่าสุดของ MediaTek พร้อมยกระดับระบบถ่ายภาพ, ประสิทธิภาพการทำงาน, ดีไซน์ และแบตเตอรี่

vivo X300 Pro นั้น เป็นรุ่นพรีเมียมที่สุดในซีรีส์ X300 โดยได้รับการติดตั้งชิปเซต MediaTek Dimensity 9500 ซึ่งผลิตด้วยด้วยกระบวนการ 3 นาโนเมตร พร้อมยกระดับการประมวลผล AI, เทคโนโลยีกราฟิก Ray Tracing ระดับเดียวกับเครื่องเกมคอนโซล และติดตั้งแกน CPU (Central Processing Unit) จำนวน 8 คอร์ ดังนี้

  • ARM C1-Ultra จำนวน 1 คอร์ ความเร็วสูงสุด 4.21 GHz สำหรับประมวลผลงานหนักอย่างเต็มศักยภาพ เช่น การเล่นเกม เป็นต้น
  • ARM C1-Premium จำนวน 3 คอร์ ความเร็วสูงสุด 3.50 GHz สำหรับประมวลผลงานทั่วไปอย่างเต็มประสิทธิภาพ
  • ARM C1-Pro จำนวน 4 คอร์ ความเร็วสูงสุด 2.70 GHz
MediaTek Dimensity 9500

ชิปเซตทรงพลังนี้ได้รับการจ่ายพลังงานด้วยแบตเตอรี่ที่มีความจุสูงถึง 6,510 mAh ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานได้ตลอดทั้งวัน พร้อมรองรับการชาร์จไฟเร็ว 90 W และชาร์จไฟไร้สาย 40 W ภายใต้บอดี้ที่มีความบาง 7.99 มม. และหนัก 226 กรัม

ด้านหน้าตัวเครื่องได้รับการติดตั้งแผงหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด 1,260 × 2,800 พิกเซล ซึ่งรองรับเทคโนโลยี LTPO (Low-Temperature Polycrystalline Oxide) ช่วยให้ปรับรีเฟรชเรตได้หลายระดับ ตั้งแต่ 1 – 120 Hz ตามความเหมาะสมของเนื้อหา และขอบจอบางเพียง 1.1 มม. ช่วยให้แสดงภาพเต็มจอได้อย่างสวยงาม เหมาะกับการเล่นเกมและรับชมวิดีโอสตรีมมิงเป็นอย่างยิ่ง

vivo X300 Pro

ด้านระบบถ่ายภาพนั้น ได้รับการติดตั้งกล้องที่ปรับแต่งประสิทธิภาพโดย Zeiss ดังนี้

  • กล้องหลัก (Wide) ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล, เซนเซอร์ภาพ Sony LYT-828 ขนาด 1/1.28 นิ้ว, รูรับแสง f/1.57, ความยาวโฟกัส 24 มม.
  • กล้องมุมกว้าง (Ultrawide) ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล, เซนเซอร์ภาพ Samsung JN1 ขนาด 1/2.76 นิ้ว
  • กล้องซูม (Telephoto) ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล, เซนเซอร์ภาพ Samsung HPB ขนาด 1/1.4 นิ้ว
  • กล้องหน้า (Selfie) ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล, เซนเซอร์ภาพ Samsung JN1 พร้อมออโตโฟกัส

นอกจากนี้ยังได้รับการติดตั้งชิปประมวลผลภาพ VS1 และ V3+ โดย VS1 นั้น ทำหน้าที่ประมวลผลในขั้นตอนแรก (Pre-Processing) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ Exposure และโฟกัสของภาพ พร้อมดำเนินกระบวนการรวมภาพ (Image Stacking) แล้วจึงส่งข้อมูลไปให้ชิป V3+ เพื่อดำเนินการประมวลผลอย่างซับซ้อนมากขึ้นในขั้นตอนสุดท้าย เช่น การลด Noise หรือปรับความคมของภาพ เป็นต้น

vivo VS1 & V3+

vivo X300 Pro ยังรองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 6.0, พอร์ต USB-C 3.2 Gen 1 และ Wi-Fi 6, มาตรฐานกันน้ำและฝุ่น IP68/IP69 ป้องกันตัวเครื่องในน้ำลึก 1.5 เมตร นาน 30 นาที และน้ำแรงดันสูงที่อุณหภูมิสูงสุด 80 องศาเซลเซียส และทำงานบนซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ OriginOS 6 ซึ่งพัฒนาบนพื้นฐานของระบบ Android 16

vivo X300 Pro มาพร้อมตัวเครื่องสี Black, Brown, Blue และ White โดยมีราคาเริ่มต้น 5,299 หยวน หรือประมาณ 24,400 บาท สำหรับแรม 12 GB + สตอเรจ 256 GB ไปจนถึง 6,699 หยวน หรือประมาณ 30,800 บาท สำหรับแรม 16 GB + สตอเรจ 1 TB

นอกจากนี้ vivo X300 Pro เวอร์ชันพรีเมียม ซึ่งรองรับการเชื่อมต่อดาวเทียม และมาพร้อมอุปกรณ์เสริมการถ่ายภาพ Photographer Kit มีราคาอยู่ที่ 8,299 หยวน หรือประมาณ 38,200 บาท

vivo จะเริ่มจำหน่าย X300 Pro ที่ประเทศจีน ในวันที่ 17 ตุลาคม 2025 และคาดว่าจะเปิดตัวสำหรับตลาดระดับโลกในเดือนพฤศจิกายน พร้อมราคาเริ่มต้น 939 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 30,700 บาท