Apple ได้ประกาศในระหว่างประชาสัมพันธ์การเริ่มสตรีมภาพยนตร์ ‘F1: The Movie’ ระบุว่า แพลตฟอร์มสตรีมมิงของบริษัทที่มีชื่อเรียกว่า Apple TV+ ได้รับการรีแบรนด์เป็น Apple TV และมีผลในทันที ซึ่งทำให้คำว่า Apple TV นั้น มีความหมายครอบคลุมทั้งแอปฯ, แพลตฟอร์มสตรีมมิง และกล่องรับสัญญาณ (Apple TV 4K) ที่ Apple ยังคงวางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน

Apple TV

ทั้งนี้ Apple ได้เริ่มอัปเดตไอคอนแอปฯ Apple TV ใหม่ ในซอฟต์แวร์ iOS 26.1 เวอร์ชัน Beta 3 แล้ว ซึ่งมีดีไซน์และสีสันดังภาพที่ปรากฏด้านล่างนี้

นอกจากนี้มีรายงานว่า Apple มียอดผู้สมัครบริการสตรีมมิง Apple TV เพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่าที่หลายสื่อในต่างประเทศคาดการณ์ไว้ อยู่ที่ 45 ล้านยูสเซอร์ แม้ทางบริษัทจะปรับเพิ่มค่าบริการรายเดิมถึง 3 ครั้ง ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาก็ตาม

อย่างไรก็ดี เอ็ดดี้ คิว (Eddy Cue) รองประธานอาวุโสฝ่าย Apple Services ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการพอดแคสต์ The Town ระบุว่า จำนวนผู้สมัครบริการจริง ๆ สูงกว่านั้น แต่มิได้เปิดเผยจำนวนที่ชัดเจนให้ทราบแต่อย่างใด

ปัจจุบัน FlixPatrol เว็บไซต์ให้บริการข้อมูลการสตรีมวิดีโอ ระบุว่า Apple TV มีผู้สมัครบริการ จำนวน 30 ล้านยูสเซอร์ แต่หากพิจารณาจากข้อมูลข้างต้นประกอบกัน อาจทำให้ Apple TV มีจำนวนผู้สมัครบริการสูงกว่า Peacock (สตรีมเนื้อหาจาก NBC และ Universal Studios) ซึ่งมีผู้สมัครบริการ จำนวน 41 ล้านยูสเซอร์

Apple TV
ข้อมูลจาก FlixPatrol

จำนวนผู้สมัครบริการดังกล่าวถือว่าน่าประทับใจ เนื่องจาก Apple ต้องเริ่มผลิตเนื้อหาต้นฉบับใหม่ทั้งหมดจากศูนย์ ในขณะที่ Netflix ซึ่งรุกตลาดสตรีมมิงระดับโลกอย่างจริงจังเป็นรายแรก ๆ ยังคงเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิงที่มีจำนวนผู้สมัครบริการทั่วโลกสูงสุด อยู่ที่ 301.6 ล้านยูสเซอร์ และแพลตฟอร์มสตรีมมิงอื่น ๆ ที่ผสานความร่วมมือกับสตูดิโอฮอลลีวูดยักษ์ใหญ่ เช่น Prime Video, Disney+ และ HBO Max เป็นต้น ก็เริ่มมีจำนวนผู้สมัครบริการเพิ่มมากขึ้น

เอ็ดดี้ คิว ได้กล่าวว่า “การดำเนินงานของเรามีอุปสรรคที่ซับซ้อนมากกว่าที่เห็น ผมไม่ได้คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการไม่สามารถผลิตเนื้อหาใหม่นานถึงปีครึ่ง (วิกฤติ Covid-19) และยังมีการประท้วงหยุดงานของนักเขียนอีก 9 เดือน ซึ่งทำให้เราล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็นเล็กน้อย แต่ผลลัพธ์ที่ปรากฏวันนี้ถือว่าอยู่ในระดับยอดเยี่ยม”

Apple TV