Apple ได้เปิดตัว iPad Pro ใหม่ รุ่นหน้าจอขนาด 11 นิ้ว และ 13 นิ้ว ซึ่งได้ใช้ศักยภาพจากชิปล่าสุดของ Apple ทั้งชิป M5, ชิปการเชื่อมต่อไร้สาย N1 และชิปโมเดม C1X
เริ่มกันที่ชิป M5 ที่ได้รับการเปิดตัวระดับโลกพร้อมกันนี้ โดยจะติดตั้งใน MacBook Pro รุ่นใหม่ และอุปกรณ์ Apple Vision Pro ด้วย ซึ่ง Apple อ้างว่ามาพร้อมแกนซีพียู (CPU : Central Processing Unit) ที่เร็วที่สุดในโลก โดยแบ่งออกเป็น 10 คอร์ ได้แก่ แกนระดับ Performance (ประมวลผลด้วยประสิทธิภาพสูง) จำนวน 4 คอร์ และแกน Efficiency (ประมวลผลแบบประหยัดพลังงาน) จำนวน 6 คอร์

ชิปดังกล่าวทำงานร่วมกับชิปประมวลผลกราฟิก (GPU : Graphics Processing Unit) จำนวน 10 คอร์ ซึ่งแต่ละคอร์ได้รับการออกแบบให้มีตัวเร่งการประมวลผลแบบโครงข่ายประสาท (ใช้ AI ช่วยประมวลผล) แบบใหม่, เพิ่มการส่งผ่านข้อมูลไปยังหน่วยความจำได้ถึง 153 GB/s และเพิ่มประสิทธิภาพการเรนเดอร์กราฟิกแสงเงา Ray Tracing ด้วย
Apple อ้างว่า ชิป M5 มีประสิทธิภาพในการประมวลผลด้วย AI สูงขึ้นถึง 3.5 เท่า ซึ่งเป็นผลจากตัวเร่งการประมวลผลแบบโครงข่ายประสาทแบบใหม่, เพิ่มประสิทธิภาพการเรนเดอร์กราฟิก 3D ด้วย Ray Tracing ได้สูงขึ้น 1.5 เท่า และประมวลผลการแปลงรหัสวิดีโอด้วยโปรแกรม Final Cut Pro ได้เร็วขึ้น 1.2 เท่า


ชิป M5 ยังเพิ่มประสิทธิภาพการส่งออกวิดีโอให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลให้ iPad Pro รุ่นใหม่นี้ สามารถส่งออกภาพไปยังหน้าจอภายนอกด้วยรีเฟรชเรตที่สูงถึง 120 Hz (แสดงการเคลื่อนไหวของภาพได้นุ่มนวลที่สุดถึง 120 เฟรมต่อวินาที) และรองรับ Adaptive Sync (VRR) ซึ่งสามารถปรับรีเฟรชเรตได้หลายระดับตามความเหมาะสมของเนื้อหาด้วย
นอกจากชิปเซตความเร็วสูงแล้วนั้น iPad Pro รุ่นใหม่นี้ ยังได้รับการติดตั้งชิป N1 สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย และชิปโมเดม C1X (นำมาใช้ครั้งแรกกับ iPhone 17 Series ที่เปิดตัวในปี 2025 นี้) ซึ่งทำให้เชื่อมต่อเครือข่ายต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

อีกสิ่งที่ได้รับการอัปเกรดอย่างน่าประทับใจ คือรองรับการชาร์จไฟเร็วในระดับเดียวกับ iPhone 17 Series หากผู้ใช้มีที่ชาร์จที่รองรับกำลังไฟเพียงพอ ยกตัวอย่างเช่น 40W Dynamic Power Adapter (รองรับกำลังไฟได้สูงสุด 60W Max) ของ Apple เป็นต้น ซึ่งทำให้สามารถชาร์จจาก 0 – 50% ได้ใน 30 นาที สำหรับรุ่นหน้าจอ 11 นิ้ว และ 35 นาที สำหรับรุ่นหน้าจอ 13 นิ้ว
อย่างไรก็ดี iPad Pro รุ่นใหม่นี้ ยังคงมาพร้อมหน้าจอ Tandem OLED แบบ Ultra Retina XDR รวมถึงกล้องหลัง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, กล้อง Centre Stage ด้านหน้า ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, ลำโพง จำนวน 4 ตัว, รองรับการเชื่อมต่อพอร์ต Thunderbolt/USB4 และมีราคาดังนี้


รุ่นหน้าจอ 11 นิ้ว
- แรม 12 GB + สตอเรจ 256 GB (ชิป M5 แบบ 9 คอร์) : 35,900 บาท (Wi-Fi), 42,900 บาท (Wi-Fi + เซลลูลาร์)
- แรม 12 GB + สตอเรจ 512 GB (ชิป M5 แบบ 9 คอร์) : 42,900 บาท (Wi-Fi), 49,900 บาท (Wi-Fi + เซลลูลาร์)
- แรม 16 GB + สตอเรจ 1 TB (ชิป M5 แบบ 10 คอร์) : 57,900 บาท (Wi-Fi), 64,900 บาท (Wi-Fi + เซลลูลาร์)
- แรม 16 GB + สตอเรจ 2 TB (ชิป M5 แบบ 10 คอร์) : 72,900 บาท (Wi-Fi), 79,900 บาท (Wi-Fi + เซลลูลาร์)
รุ่นหน้าจอ 13 นิ้ว
- แรม 12 GB + สตอเรจ 256 GB (ชิป M5 แบบ 9 คอร์) : 47,900 บาท (Wi-Fi), 54,900 บาท (Wi-Fi + เซลลูลาร์)
- แรม 12 GB + สตอเรจ 512 GB (ชิป M5 แบบ 9 คอร์) : 54,900 บาท (Wi-Fi), 61,900 บาท (Wi-Fi + เซลลูลาร์)
- แรม 16 GB + สตอเรจ 1 TB (ชิป M5 แบบ 10 คอร์) : 69,900 บาท (Wi-Fi), 76,900 บาท (Wi-Fi + เซลลูลาร์)
- แรม 16 GB + สตอเรจ 2 TB (ชิป M5 แบบ 10 คอร์) : 84,900 บาท (Wi-Fi), 91,900 บาท (Wi-Fi + เซลลูลาร์)
