ภายใต้แนวคิด “Empower People to Make Life Simple” งาน Krungsri Tech Day 2025 ได้สะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่คือพลังที่ช่วยให้ชีวิตประจำวันและการทำธุรกิจของทุกคนง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และปลอดภัยมากกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ได้ก้าวข้ามจากการเป็นเพียง Buzzword มาสู่การเป็น “เครื่องมือสร้างความเปลี่ยนแปลง” ที่จับต้องได้จริง
ซึ่งปีนี้งานได้ตอกย้ำภาพนั้นผ่านหลากหลายเซสชันบนเวที พร้อมคัดสรรและสรุปไฮไลต์สำคัญที่ผู้บริหารและผู้นำองค์กรต้องจับตามอง เพื่อเตรียมความพร้อมและคว้าโอกาสในการแข่งขันแห่งอนาคต
เทรนด์ที่ 1 : AI Transformation – ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือกลยุทธ์และความรับผิดชอบ
ประเด็นที่ร้อนแรงที่สุดบนเวที Main Stage คือการมอง AI เป็นหัวใจของการปฏิรูปองค์กร (Transformation) ซึ่งไม่ใช่แค่การนำซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ มาติดตั้ง แต่คือการปรับเปลี่ยนวิธีคิด วัฒนธรรม และกระบวนการทำงานทั้งหมดโดยมี AI เป็นแกนกลาง การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องการการสนับสนุนจากผู้นำระดับสูงเพื่อกำหนดทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน
โดย คุณรถพร เอกบุตร (Krungsri Head of Digital and Innovation Group) ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจในเวทีเสวนา “AI Powered Transformation” ว่า ในฐานะสถาบันการเงิน การนำ AI มาใช้ให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องเริ่มต้นจากวิสัยทัศน์ของผู้นำ และต้องมาพร้อมกับคำว่า “Responsibly” หรือการเติบโตอย่างรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลข้อมูลลูกค้าหรือความโปร่งใสของโมเดล AI
ด้าน คุณอโณทัย เวทยากร (Managing Director, IBM Thailand) ได้เสริมว่า การจะไปถึงจุดนั้นได้ องค์กรต้องมีรากฐานทางเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมข้อมูล (Data Architecture) ที่พร้อมรองรับนวัตกรรม AI ที่จะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและซับซ้อนยิ่งขึ้นในอนาคต
Key Takeaway : การลงทุนใน AI ต้องมองให้ไกลกว่าแค่ตัวเทคโนโลยี แต่ต้องครอบคลุมถึงการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร การสร้างทักษะใหม่ให้พนักงาน และที่สำคัญที่สุดคือการวางกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจน เพื่อให้แน่ใจว่าการเติบโตด้วย AI นั้นเป็นไปอย่างยั่งยืนและได้รับความไว้วางใจจากทุกภาคส่วน
เทรนด์ที่ 2 : The Rise of Agentic AI และการนำมาใช้จริงในองค์กร
อีกหนึ่งเทรนด์ใหญ่ที่กำลังมาแรงและถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางคือ Agentic AI หรือ AI ที่มีความสามารถในการคิด วางแผน และดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ซับซ้อนได้ด้วยตนเอง เปรียบเสมือนการมีผู้ช่วยดิจิทัลที่ไม่ได้แค่รอรับคำสั่ง แต่สามารถทำงานเชิงรุกได้ ซึ่งคุณวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ (Country Manager, AWS Thailand) ได้อธิบายในหัวข้อ “Agentic AI & Trustworthy AI for the Future of Business” ว่านี่คือวิวัฒนาการขั้นต่อไปของ AI ที่จะมาปลดล็อกประสิทธิภาพการทำงานในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยสามารถลดขั้นตอนการทำงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ และเปิดโอกาสให้มนุษย์ไปโฟกัสกับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
โดยปรัชญาเบื้องหลังการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ ได้รับการอธิบายอย่างชัดเจนจาก คุณตุลย์ โรจน์เสรี (Head of Enterprise Data and Analytics Group, Krungsri) ซึ่งเน้นย้ำถึงมุมมองที่ว่า ข้อมูลไม่ใช่เป็นเพียงแค่ตัวเลข แต่คือ “เสียงของลูกค้า” ที่สะท้อนความต้องการที่แท้จริง เพื่อให้องค์กรสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละรายได้อย่างแท้จริง
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการนำเทรนด์นี้มาใช้จริง ถูกนำเสนอโดยกรุงศรีเองในเวที Solution Stage กับโซลูชัน “Data Puppap – Transforming Finanacial Insight Access by Agentic AI” ที่นำเสนอโดย คุณศิษฏพงศ์ เศรษฐภัทร (ผู้บริหารฝ่ายวิทยาการข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์, Krungsri) และทีม ซึ่งเป็นการใช้ Agentic AI ทำหน้าที่เป็น “ล่าม” แปลข้อมูลทางการเงินที่ซับซ้อนให้กลายเป็น Insight ที่เข้าใจง่าย ช่วยทลายกำแพงการเข้าถึงข้อมูลและทำให้ทุกคนในองค์กร
แม้จะไม่ได้มาจากสายเทคนิค ก็สามารถใช้ประโยชน์จาก Data ได้อย่างเต็มศักยภาพ นี่คือข้อพิสูจน์ว่า Agentic AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นสิ่งที่สามารถนำมาสร้างคุณค่าให้ธุรกิจได้แล้วในวันนี้
Key Takeaway : ควรเริ่มศึกษาศักยภาพของ Agentic AI และพิจารณา Use Case ภายในองค์กรที่สามารถนำมาทดลองใช้ โดยเน้นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด เช่น การเข้าถึงข้อมูล การทำงานที่ซับซ้อนซ้ำซ้อน หรือการสร้าง Workflow อัตโนมัติ เพื่อสร้างความเข้าใจและเตรียมความพร้อมสำหรับเทคโนโลยีที่จะกลายเป็นมาตรฐานในอนาคต
เทรนด์ที่ 3 : AI for Cybersecurity – เสริมเกราะป้องกันให้ธุรกิจในยุคดิจิทัล
“ดาบสองคม” คือคำที่อธิบายบทบาทของ AI ในโลก Cybersecurity ได้ดีที่สุด เพราะในขณะที่องค์กรใช้ AI เพื่อสร้างการเติบโต ผู้ไม่หวังดีก็กำลังใช้ AI เพื่อสร้างการโจมตีที่ซับซ้อนและตรวจจับได้ยากขึ้นเช่นกัน ตั้งแต่การสร้างอีเมล Phishing ที่แนบเนียนขึ้น ไปจนถึงการเขียนมัลแวร์ที่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับได้ การมี “ภูมิคุ้มกันดิจิทัล” ที่แข็งแกร่งจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
คุณเควิน โอเลียรี (Kevin O’Leary) (ASEAN Director – Security, Resiliency, Networks & Edge Practice, Kyndryl) ได้ให้ทัศนะบน Main Stage ในหัวข้อ “Hyper Convergence of Cybersecurity Risk – AI, 5G, Quantum & Cloud” ว่าภัยคุกคามในปัจจุบันเป็นการผสมผสานกันระหว่าง AI, 5G และเทคโนโลยีอื่น ๆ ทำให้การป้องกันแบบเดิม ๆ อาจไม่เพียงพอ องค์กรจึงจำเป็นต้องใช้ AI มาเป็นเครื่องมือในการป้องกันเชิงรุก (AI-Driven Defense) ซึ่งสามารถเรียนรู้รูปแบบการทำงานปกติของระบบ และตรวจจับความผิดปกติที่อาจเป็นภัยคุกคามได้แบบเรียลไทม์
ในมุมมองของผู้ปฏิบัติงานในสถาบันการเงิน คุณมนต์รวี เชียรชัยนิรัติศัย (ผู้บริหารสายงานโซลูชันและวิศวกรรมข้อมูล, Krungsri) ได้ให้มุมมองเสริมที่น่าสนใจว่า การมี AI Governance ที่ดี คือส่วนหนึ่งของการสร้าง Cybersecurity ที่แข็งแกร่ง เพราะการกำกับดูแล AI ที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการที่ AI ถูกโจมตีหรือถูกใช้ในทางที่ผิด นอกจากนี้ การนำ AI มาช่วยวิเคราะห์ Log file หรือ Transaction จำนวนมหาศาลเพื่อหาพฤติกรรมที่น่าสงสัย ก็เป็นอีกหนึ่ง Use Case ที่กรุงศรีให้ความสำคัญ เพื่อยกระดับการป้องกันให้ก้าวทันภัยคุกคามยุคใหม่
ซึ่งสอดคล้องกับที่ คุณอนุสรณ์ อูปคำ (Senior Solution Engineer, Cisco Systems (Thailand)) ได้กล่าวในหัวข้อ “A New Era of AI for Digital Resilience” ว่า AI คือหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นคงทนทาน (Resilience) ให้แก่ระบบ IT ขององค์กร
Key Takeaway : การลงทุนด้าน Cybersecurity ไม่ใช่ค่าจ่าย แต่คือการลงทุนเพื่อรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจและความเชื่อมั่นของลูกค้า การพิจารณาโซลูชันความปลอดภัยที่มี AI เป็นองค์ประกอบ ควบคู่ไปกับการวางกรอบ Governance ที่รัดกุม คือแนวทางที่จะช่วยให้องค์กรก้าวทันภัยคุกคามที่มีความซับซ้อนมากขึ้นทุกวัน
เทรนด์ที่ 4 : AI Governance – รากฐานที่มั่นคงของการใช้ AI
ท่ามกลางกระแสการใช้ AI ปัจจัยที่จะตัดสินความสำเร็จในระยะยาวคือการมี “AI Governance” หรือการกำกับดูแล AI ที่ดี ซึ่งเป็นประเด็นที่กรุงศรีและพันธมิตรให้ความสำคัญเป็นอย่างสูง โดยครอบคลุมตั้งแต่แหล่งที่มาของข้อมูล, ความเป็นธรรมของอัลกอริทึม, ไปจนถึงความโปร่งใสในการตัดสินใจของ AI
ในเวทีเสวนา “AI Innovation’s Hidden Success Factor: ‘AI Governance'” คุณมนต์รวี เชียรชัยนิรัติศัย และ คุณวีระ ปาลซิงห์ (Krungsri Principal IT Planning) ได้ร่วมให้ความเห็นว่า Governance ไม่ใช่ข้อจำกัด แต่คือการสร้าง “สนามเด็กเล่นที่ปลอดภัย” (Safe Playground) ให้ทีมสามารถพัฒนานวัตกรรมได้อย่างมั่นใจว่าจะไม่สร้างความเสี่ยงให้องค์กร
ซึ่งมุมมองนี้ได้รับการตอกย้ำจาก คุณตุลย์ โรจน์เสรี ที่ได้เสริมในประเด็นการจัดการข้อมูลว่า การใช้ข้อมูลที่ดีต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบเสมอ โดยมี Data Privacy และความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุด เพราะการใช้ข้อมูลเพื่อมอบสิ่งที่ดีกว่านั้น ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไว้วางใจ
สอดคล้องกับมุมมองจาก คุณนิติน ดัตตา (Nitin Datta) (ASEAN Technology Consulting Leader, EY) และคุณยาสุยูกิ นิชิฮาระ (Managing Director, Deputy Head of MUFG Digital Strategy Division, MUFG) ที่มองว่าการมีธรรมาภิบาลที่ดีจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น (Trust) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการเงินที่ความไว้วางใจของลูกค้าคือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด
Key Takeaway : ควรจัดตั้งคณะทำงานหรือกำหนดผู้รับผิดชอบด้าน AI Governance โดยเฉพาะ เพื่อสร้างกรอบการทำงานที่ชัดเจน และประเมินความอ่อนไหวของข้อมูลเพื่อเลือกระหว่างการใช้ Public GenAI หรือ Private GenAI ให้เหมาะสมกับกลยุทธ์ขององค์กร เพื่อสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความเสี่ยง
บทสรุปสำหรับผู้นำองค์กร : จากความเข้าใจสู่การลงมือทำ
จากทั้ง 4 เทรนด์ที่กล่าวมา สะท้อนให้เห็นภาพอนาคตที่ชัดเจนว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือชิ้นใหม่ในกล่องเครื่องมืออีกต่อไป แต่กำลังจะกลายเป็น “ระบบประสาทส่วนกลาง” (Central Nervous System) ขององค์กรยุคใหม่ ที่เชื่อมโยงการวางกลยุทธ์ (AI Transformation), การปฏิบัติการที่ชาญฉลาด (Agentic AI), เกราะป้องกันทางธุรกิจ (Cybersecurity) และรากฐานแห่งความเชื่อมั่น (Governance) เข้าไว้ด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ
การเดินทางสู่ยุค AI จึงไม่ใช่แค่การไล่ตามเทคโนโลยี แต่คือการเดินทางเพื่อ “นิยามองค์กรของคุณขึ้นมาใหม่” มันคือโอกาสครั้งสำคัญในการสร้างธุรกิจที่ชาญฉลาดขึ้น, คล่องตัวขึ้น และมั่นคงปลอดภัยกว่าที่เคยเป็น คำถามสำคัญสำหรับผู้นำในวันนี้จึงไม่ใช่ “เราควรจะใช้ AI หรือไม่” แต่คือ “เราจะเริ่มสร้างอนาคตด้วย AI อย่างไร และจะเริ่มต้นเมื่อไหร่”
ซึ่งคำตอบที่ดีที่สุดก็คือ…เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้