สาวก iPhone เค้ารู้กันว่า iPhone ขึ้นชื่อเรื่องแบตฯ หมดไว เพราะให้แบตฯ มาน้อยเหลือเกิน ถ้าเป็นเครื่องใหม่ ๆ แบตฯ ยังไม่เสื่อม 1 วันไม่ต้องชาร์จยังได้ แต่ถ้าใช้ไปสัก 1-2 ปี แล้วแบตฯ เริ่มเสื่อมใช้ได้แค่ครึ่งวันก็ต้องชาร์จละ ต้องลำบากมาพกพาวเวอร์แบงก์อีก หนักก็หนัก แต่เรื่องแบตฯ หมดไว ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละบุคคลด้วยค่ะ วันนี้ BT จะมาช่วยทุกคนแก้ปัญหาแบตฯ iPhone หมดไว ทำได้ง่าย ๆ ช่วยได้จริง

สาเหตุและวิธีแก้ปัญหาแบตฯ iPhone หมดไว

1. แอปฯ ทำงานเบื้องหลัง : แอปฯ บางประเภทจะยังคงทำงานอยู่แม้ผู้ใช้จะไม่ได้เปิดใช้งาน เช่น การแจ้งเตือนหรือการอัปเดตข้อมูลอัตโนมัติ ทำให้แบตฯ หมดทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ทำอะไร

วิธีแก้ไขคือ ตรวจสอบว่าแอปฯ ไหนใช้แบตฯ เยอะเกินไป ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแอปฯ โซเชียลมีเดีย อีเมล หรือแอปฯ ที่มีการอัปเดตข้อมูลตลอดเวลา

ซึ่งทำได้โดยการให้เข้าไปตรวจสอบที่ “การตั้งค่า” (Settings) > เลือก “แบตเตอรี่” (Battery) > ดูกราฟการใช้แบตฯ ในช่วง 24 ชั่วโมง หรือ 10 วันล่าสุดตรวจสอบว่าแอปฯ ใดใช้แบตฯ มากที่สุด หากพบว่าเป็นแอปฯ ที่ไม่จำเป็น อาจพิจารณา ปิดการทำงานเบื้องหลัง หรือ จำกัดการแจ้งเตือน หรือท้ายที่สุดก็คือ ลบแอปฯ ออกจากเครื่อง

2. การเปิด Wi-Fi, Bluetooth ทิ้งไว้ตลอดเวลา : Bluetooth เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่แอปฯ สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นหรืออัปเดตข้อมูลได้โดยไม่ต้องเปิดแอปฯ ขึ้นมา ซึ่งหากเปิดทิ้งไว้ตลอดเวลา อาจทำให้แบตเตอรี่ลดลงเร็วกว่าปกติวิธีแก้ไขคือปิดการเข้าถึง Bluetooth ของแอปฯ ที่ไม่จำเป็น ด้วยการเข้าไปที่ “การตั้งค่า” (Settings) > แตะ “บลูทูธ” (Bluetooth) > หากไม่ได้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ใด เช่น หูฟัง หรือลำโพง ให้ปิด Bluetooth เพื่อหยุดการเชื่อมต่อที่ไม่จำเป็น

นอกจากนี้ ยังสามารถเข้าไปที่การตั้งค่าของแอปฯ แต่ละตัว เพื่อจำกัดการเข้าถึง Bluetooth เฉพาะบางแอปฯ ได้ด้วย

3. แบตเตอรี่เสื่อมตามอายุการใช้งาน : สาเหตุหลักที่ทำให้แบตฯ หมดไว หากใช้งาน iPhone 1-2 ปี และมีการชาร์จบ่อย ๆ แบตเตอรี่จะเริ่มเสื่อมสภาพและเก็บพลังงานได้น้อยลง 

วิธีแก้ไขคือตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่ (Battery Health) ด้วยการเข้าไปที่ “การตั้งค่า” (Settings) > ไปที่ “แบตเตอรี่” (Battery) > แตะ “สุขภาพแบตเตอรี่และการชาร์จ” (Battery Health & Charging) > ดูค่า “ความจุสูงสุด” (Maximum Capacity) หากต่ำกว่า 80% แสดงว่าแบตเตอรี่เสื่อม และควรเปลี่ยนใหม่เพื่อให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ แนะนำให้ใช้เป็นแบตเตอรี่แท้ เพราะคุณภาพดีกว่าของเทียบ และอยู่ได้ยาวกว่า

4. ระบบปฏิบัติการไม่เสถียร : iOS เวอร์ชันใหม่ อาจยังไม่เสถียร หรือมีปัญหาที่ส่งผลต่อการใช้พลังงาน ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว วิธีการแก้ไขคือกลับไปใช้เวอร์ชันที่เก่ากว่า ซึ่งสามารถนำเครื่องไปให้ศูนย์บริการจัดการได้ 

5. การใช้บริการระบุตำแหน่ง (GPS) : การเปิดใช้งานตำแหน่งที่ตั้งอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับแอปฯ ที่ต้องใช้ GPS เช่น Google Maps จะทำให้แบตฯ หมดไวขึ้น

วิธีแก้ไขคือจำกัดการเข้าถึงตำแหน่งของแอปพลิเคชัน ซึ่งแอปฯ จำนวนมากมีการขอสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งที่ตั้ง แม้ในขณะที่คุณไม่ได้ใช้งานแอปฯ นั้น ซึ่งนอกจากจะกระทบต่อความเป็นส่วนตัวแล้ว ยังเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วโดยไม่รู้ตัว

ขั้นตอนการตั้งค่า ไปที่ “การตั้งค่า” (Settings) > เลือก “ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย” (Privacy & Security) > แตะ “บริการหาตำแหน่งที่ตั้ง” (Location Services)

เลือกแอปพลิเคชันที่ต้องการปรับ แล้วเลือกตัวเลือกการเข้าถึง ได้แก่ ไม่เลย (Never) – ปฏิเสธไม่ให้เข้าถึงตำแหน่งเลย, ถามฉันในครั้งต่อไป (Ask Next Time) – ถามทุกครั้งก่อนเข้าถึง, ขณะใช้แอป (While Using the App) – เข้าถึงเฉพาะตอนที่ใช้งาน, ทุกครั้ง (Always) – อนุญาตตลอดเวลา ซึ่งควรหลีกเลี่ยงการตั้งค่า “ทุกครั้ง” เว้นแต่จำเป็นจริง ๆ เช่น แอปฯ แผนที่หรือแอปฯ ติดตามการเดินทาง เพราะการเข้าถึงตำแหน่งแบบถาวรจะทำให้แบตเตอรี่ลดลงเร็ว แม้คุณจะไม่ได้ใช้งานแอปฯ อยู่ก็ตาม

6. เร่งแสงหน้าจอให้สว่างที่สุดตลอดเวลา : หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า การเปิดหน้าจอให้สว่างที่สุด เป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แบตฯ หมดไว เพราะหน้าจอเป็นส่วนที่ใช้ไฟเยอะเป็นอันดับต้น ๆ

วิธีแก้ไขคือ เปิด “การปรับความสว่างอัตโนมัติ” ให้หน้าจอสว่างตามสภาพแวดล้อม > ปรับความสว่างให้พอดี ผ่าน ศูนย์ควบคุม (Control Center) โดยเลื่อนแถบความสว่างลงเล็กน้อย หรือ ตั้งค่าให้ “ล็อกหน้าจออัตโนมัติ” เร็วขึ้น เช่น 30 วินาที หรือ 1 นาที

แม้ iPhone จะเป็นอุปกรณ์ที่มีระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ แต่การตั้งค่าที่ไม่เหมาะสมก็อาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น วิธีที่กล่าวไปข้างต้นล้วนเป็นวิธีที่ช่วยให้ iPhone ของเราทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมยืดอายุแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น

หมั่นตรวจสอบและปรับการตั้งค่าเป็นประจำ จะช่วยให้เราไม่ต้องชาร์จบ่อย และยืดอายุการใช้งานเครื่องไปได้ไม่มากก็น้อย