ย้อนเวลากลับไปในช่วงปี 1972 หรือในปี 2515 เมื่อ 48 ปีที่แล้วเครื่องเกมคอนโซลเครื่องแรกของโลกในชื่อ  Magnavox Odyssey ได้วางจำหน่ายให้เราได้รู้จักเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สามารถต่อเข้าเครื่องรับโทรทัศน์เพื่อการเล่นเกมต่าง  ๆ ได้(เกมคอนโซลสามารถเปลี่ยนเกมได้ไม่ใช่เครื่องมีแค่เกมเดียว) นับจากวันนั้นผ่านมาจนถึง PlayStation 5 และ Xbox Series X/S ในตอนนี้ก็ผ่านมาถึง 9 Generation เข้าไปแล้ว วันนี้เราจะพาคุณย้อนเวลาไปดูเครื่องเกมในยุคเก่าตั้งแต่อดีตว่ามีเครื่องเกมอะไรที่น่าสนใจบ้าง โดยเราจะเลือกเฉพาะเครื่องเกมที่คุณยังไม่ค่อยรู้จักมานำเสนอ ถ้าพร้อมแล้วก็เตรียมตัวให้พร้อมและมานั่งเครื่องย้อนเวลาไปกับเราได้เลย

ย้อนอดีต  20 เครื่องเกมคอนโซลยุคเก่าที่คุณอาจไม่รู้จัก

The Brown Box  

The Brown Box

ก่อนที่เราจะไปถึงเครื่องเกมคอนโซลที่วางจำหน่ายเครื่องแรกของโลก เรามาดูบรรพบุรุษของเครื่องเกมคอนโซลกันก่อน กับเครื่องเกมที่มีชื่อเรียกง่าย ๆ ว่า The Brown Box  ที่ถูกสร้างขึ้นมาครั้งแรกในช่วงปี 1967 โดยความคิดของคุณปู่ทวด Ralph Baer ที่มีความคิดจะสร้างเครื่องเกมวางจำหน่าย โดยการออกแบบเครื่อง The Brown Box  ขึ้นมาเป็นต้นแบบ ตัวเครื่องทำจากไม้พร้อมแผงวงจรมากมายภายใน และที่เห็นแบบนี้ในเครื่องสามารถเปลี่ยนเกมได้ถึง 5 เกมทั้งเกมคือ included ping-pong, checkers, four different sports games, target shooting with the use of a lightgun ไปจนถึง a golf putting game และเห็นแบบนี้เครื่อง  The Brown Box อุปกรณ์เสริมที่เป็นรูปร่างปืนในชื่อ Lightgun อีกด้วย ซึ่งถ้าไม่มีเครื่อง The Brown Box เราคงไม่เห็นเครื่องเกมในทุกวันนี้

The Brown Box
German-American game developer Ralph Baer shows the prototype of the first games console which was invented by him during a press conference on the Games Convention Online in Leipzig, Germany in 2009. Baer died on Saturday. He was 92.

Magnavox Odyssey

Magnavox Odyssey

หลังจากความสำเร็จในการออกแบบ The Brown Box สำเร็จ คุณปู่ทวด Ralph Baer ก็เริ่มต้นออกแบบเครื่องเกมคอนโซลที่สามารถผลิตออกมาวางขายได้เป็นครั้งแรกในปี 1972 ในชื่อใหม่ว่า Magnavox Odyssey โดยมีบริษัท Magnavox เป็นผู้ออกทุนในการผลิตเครื่องเกมตัวนี้ออกมา โดยเครื่องเกมคอนโซลตัวแรกของโลกนี้มียอดขายที่สูงถึง 350,000 เครื่อง ตัวเกมประกอบไปด้วยตัวเครื่องขนาดใหญ่สีขาวที่สามารถเปลี่ยนเกมที่ช่องด้านหน้า พร้อมตัวควบคุมสองอันพร้อมกับตลับเกมที่มีมากถึง 28 เกม แถมยังมีกระดาษที่เป็นอุปกรณ์เสริมที่เอาไปแปะบนโทรทัศน์เพื่อเล่นเกมต่าง ๆ อีกด้วย ตัวเครื่องเกมได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ตัวเครื่องผลิตออกมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 1975 นับเป็นก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่และถือเป็น Generation ที่ 1 ของวงการเกมนับจากนี้

Magnavox Odyssey

Atari 2600

Atari 2600

มาถึง Generation ที่ 2 ของวงการเกมหลังจากที่เครื่อง Magnavox Odyssey ยกเลิกการผลิตไป 2 ปีก็มีบริษัท  Atari Video Computer System ได้ผลิตเครื่องเกมคอนโซลตัวใหม่ออกมาสู่ตลาดในชื่อ Atari 2600 ในปี 1977 ที่คราวนี้ตัวเกมจะมาในรูปแบบของตลับและตัวควบคุมที่เป็นแบบตัวคันโยก CX40 joystick ในการควบคุมเกมต่าง ๆ ตัวเครื่องมี Memory 128 bytes RAM ตัวเครื่องสามารถขายได้สูงถึง 30 ล้านเครื่อง(นับจนถึงปี 2004) ในส่วนของเกมยอดนิยมประจำเครื่องก็คือ Pac-Man ที่ขายได้กว่า 7  ล้านชุด(นับจนถึงปี 2006) ส่วนเกมที่เป็นบาดแผลและเป็นตำนานมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือเกม E.T. the Extra-Terrestrial ที่ผลิตออกมาเป็นล้านตลับ แต่กลับขายไม่ออกจนทาง  Atari  ต้องเอาไปฝังทิ้งจนมีรายการทางทีวีไปขุดและเจอจริง ๆ ตัวเครื่องสิ้นสุดการวางจำหน่ายในปี 1992

Atari 2600

Intellivision

Intellivision

ย้อนเวลากลับไปในช่วงปี 1977 ที่ในปีนั้นเครื่องเกม  Atari 2600 ได้วางจำหน่ายและสร้างกระแสความนิยมเป็นอย่างมาก จนทาง Mattel Electronics จึงคิดจะทำเครื่องเกมออกมาขายบ้าง ในชื่อ Intellivision ที่นับเป็นการทำตลาดแข่งกันครั้งแรกของวงการเกม  โดยตัวเครื่องนั้นมาพร้อมกับตัวควบคุมที่เป็นปุ่มทรงกลมขนาดใหญ่ ในการกดเพื่อควบคุมทิศทางขึ้นลงซ้ายขวา พร้อมกับปุ่มตัวเลขเพื่อใช้แทนการกดควบคุมในเกม ที่ต่างกับของ  Atari 2600 ที่มีเพียงปุ่มเดียว ตัวเกมมีกราฟิกที่สวยงามสีสันสดใสและมียอดขายไปกว่า 3 ล้านเครื่อง ตัวเครื่องเกมยุติการผลิตในปี 1990 โดยทาง IGN ได้ยกย่องให้ Intellivision เป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลอันดับ 14 อีกด้วย

Intellivision

Atari 5200

Atari 5200

ในปี 1982 ทาง Atari กลับมาอีกครั้งในเครื่องเกมตัวใหม่ชื่อว่า  Atari 5200 ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อแข่งขันกับ Intellivision ที่วางจำหน่ายในตอนนั้น โดยเครื่อง Atari 5200 นี้ไม่สามารถเอาเกมบน Atari 2600 มาเล่นได้อย่างที่แฟน ๆ คาดหวัง ตัวเกมมาพร้อมกับตัวควบคุมรูปแบบใหม่ที่มีปุ่มกดตัวเลขแบบเดียวกับที่ Intellivision มี แต่ก็ยังเพิ่มปุ่มเริ่มเกมปุ่มหยุดเกมชั่วคราวและปุ่ม Reset ตัวเกม Atari 5200 มีเกม Donkey Kong ของ Nintendo เป็นหัวเรือหลักในการขาย ตัวเครื่องขายได้เพียง 1 ล้านเครื่อง ซึ่งน้อยกว่าทาง Intellivision และเครื่องเกมตัวเก่าของตัวเองเสียอีก ตัวเครื่องถูกยกเลิกการผลิตในปี 1984

Atari 5200

Colecovision

Colecovision

ในช่วงปี 1982 นับเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามเกมคอนโซลของจริง เพราะนอกจากเครื่อง Atari 5200 กับ Intellivision แล้วก็ยังมีเครื่อง Colecovision มาเป็นคู่แข่งในตลาดอีกเครื่อง ตัวเกมมาพร้อมกับ CPU Zilog Z80 Memory 1 kB scratchpad RAM 16 kB video RAM 8kB ROM พร้อมกับการเปิดตัวเกมใหม่พร้อมเครื่องถึง 12 เกม และหนึ่งในนั้นก็คือเกม Donkey Kong ของ Nintendo ตัวควบคุมจะเป็นแบบคันโยกพร้อมกับตัวเลขที่มีการออกแบบคล้ายกับเครื่อง  Intellivision ตัวเกมให้ภาพกราฟิกที่สวยงามและมีเกมให้เลือกเล่นกว่า 145 เกม กับยอดขายที่มากกว่า 2 ล้านชุดตัวเกมถูกยกเลิกการผลิตในปี 1985 เมื่อบริษัท Coleco ถอนตัวออกจากตลาดวิดีโอเกม

Colecovision

Atari 7800

Atari 7800

ก้าวมาถึง Generation ที่ 3 ของวงการเกม ที่ในช่วงนี้ทาง Nintendo ได้เริ่มมาทำตลาดบนเครื่องคอนโซลอย่าง Famicom และกลายเป็นผู้นำอย่างรวดเร็ว ทาง Atari จึงออกเครื่อง Atari 7800 ออกมาเพื่อแข่งในตลาดในปี 1986 ตัวเกมมีความพิเศษตรงที่สามารถเอาตลับเกม Atari 2600 มาเล่นบนเครื่องนี้ได้ นับเป็นเครื่องเกมคอนโซลเครื่องแรกที่สร้างเอาเกมจากเครื่องเก่ามาเล่นได้ นับเป็นจุดขายที่ดีงามพร้อมกับตัวเครื่องเกมที่มีควบคุมที่มีหลายแบบเพื่อการเล่นเกม ไม่ว่าจะเป็น  2600-standard CX40 ไปจนถึง Pole Position II แต่นั่นก็สู้ความร้อนแรงของ Famicom หรือ Nintendo Entertainment System (NES) ของทาง Nintendo ได้ จนบริษัทต้องปิดตัวในปี 1992 เหลือทิ้งไว้เพียงตำนาน

Atari 7800

Master System

Master System

ในช่วง Generation ที่ 3 นอกจาก Atari และ Nintendo ที่ผลิตเครื่องเกมออกมาฟาดฟันกันแล้วก็มีทาง Sega มาขอร่วมวงด้วยในช่วงปี 1985 ในเครื่อง Master System ที่มาพร้อมกับ CPU Zilog Z80A @ 4 MHz Memory 8 kB RAM, 16 kB VRAM ตัวเครื่องมีเกมต่าง ๆ ออกมามากมาย หนึ่งในนั้นคือเกมในตำนานอย่าง Sonic the Hedgehog แถมยังมีเกม  Street Fighter II และ Dynamite Headdy ลงบนเครื่องนี้อีกด้วย แต่สุดท้ายก็สู้ความร้อนแรงของ Famicom ไม่ได้  ตัวเครื่องขายไปได้ 13 ล้านเครื่องก่อนจะยุติการวางจำหน่ายในปี 1991

Master System

TurboGrafx-16

TurboGrafx-16

มาถึง Generation ที่ 4 ซึ่งตอนนี้ตัวเครื่องเกมได้เปลี่ยนจาก 8 Bit มาเป็น 16 Bit โดยมี Hudson Soft เป็นผู้เริ่มต้นเป็นเจ้าแรก ที่ผลิตเครื่อง TurboGrafx-16 หรือในชื่อ PC Engine ที่เราจะคุ้นกับชื่อนี้มากกว่า(PC Engine คือชื่อที่ใช้วางจำหน่ายในญี่ปุ่น) และถึงแม้ตัวเครื่องจะโฆษณาว่าตัวเองนั้นคือเครื่องเกม 16 Bit แต่ความจริงแล้วในเครื่องกลับใช้ CPU 8 Bit ตัวเครื่องเกมขายได้แค่ 5.8 ล้านเครื่อง ซึ่งตัวเครื่อง TurboGrafx-16 มีความสามารถต่ำกว่า Sega Genesis และ Super Nintendo Entertainment System ที่ออกตามา บวกกับเกมที่ไม่ดึงดูดผู้เล่นตัวเครื่องจึงถูกลืมและหายไปตามกาลเวลา แต่ถ้าใครอยากหาเครื่องมาสะสมตอนนี้ก็มีเครื่อง PC Engine Mini วางขายให้นักสะสมได้หามาเล่นกันด้วย

TurboGrafx-16

Sega Genesis

Sega Genesis

ถ้าพูดถึงชื่อ Sega Genesis หลายคนอาจจะไม่คุ้น แต่ถ้าพูดชื่อ Mega Drive นักเล่นเกมในยุคก่อนก็น่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี ตัวเครื่องวางจำหน่ายในปี 1988 และเปลี่ยนชื่อเป็น Genesis เมื่อวางจำหน่ายในอเมริกาเหนือปี 1989 ตัวเกมมาพร้อมกับปุ่มควบคุม 3 ปุ่มที่ต่างกับ Super Famicom ที่ออกตามมาภายหลังในปี 1991 ตัวเกมเป็น 16 Bit ที่มีกราฟิกสวยงามพร้อมกับเกม Sonic the Hedgehog ที่ขายได้กว่า 15 ล้านชุด ส่วนภาค 2 ขายได้ 6 ล้านชุด ตัวเครื่องขายได้กว่า 30.75 ล้านเครื่องที่นับว่าค่อนข้างได้รับความนิยมแต่ก็สู้ความร้อนแรงของ Super Famicom ไม่ได้  ตัวเครื่องยุติวางจำหน่ายในปี 1997 ใครที่สนใจอยากหาเครื่องเกมมาเก็บก็มีแบบ Mega Drive Mini ให้ตามเก็บมาสะสม

Sega Genesis

CD-I

CD-I

เชื่อว่าหลายคนคงจะไม่ทราบมาก่อนในช่วงปี 1991 ก็มีเครื่องเกมที่ใช้แผ่น CD ในตลาดด้วย กับ CD-I หรือชื่อเต็ม ๆ คือ Compact Disc-Interactive ที่มี Philips เป็นผู้คิดค้นเพื่อแข่งในตลาดของ Generation ที่ 4 ที่ว่ากันว่าเครื่องนี้เกิดหลังจากที่ทาง Nintendo ทิ้ง Sony ที่เคยคิดจะทำเครื่อง Playstation ร่วมกัน แต่ทาง Nintendo ก็เปลี่ยนใจไปร่วมมือกับ Philips ก่อนจะทำข้อตกลงที่ไม่ลงตัวจนทาง Nintendo ไปทำเครื่อง Nintendo 64 ออกมาเองหลังจากนั้น ส่วน Sony ก็กำลังพัฒนา Playstation ขณะที่ทาง Philips ก็เข็นเครื่อง CDI ออกมาก่อนพร้อมกับเกมกว่า 196 เกมที่เป็นรูปแบบ CD และหนึ่งในเกมบนเครื่องนี้ก็มีเกม Zelda The Wand of Gamelon ของ Nintendo อยู่ด้วย และเครื่องนี้ก็เป็นเครื่องเกมคอนโซลเครื่องแรกที่สามารถเล่นแผ่นภาพยนตร์ได้อีกต่างหาก แต่ด้วนราคาที่สูงเกินไปเมื่อเทียบกับเครื่องอื่น ๆ ที่เป็นตลับในยุคนั้นจึงทำให้ตัวเครื่องยุติวางจำหน่ายในปี 1998

CD-I

Neo Geo

Neo Geo

ในช่วง Generation ที่ 4 นั้นนับเป็นยุคที่มีเครื่องเกมวางจำหน่ายถึง 6 เครื่อง หนึ่งในนั้นก็คือเครื่อง  Neo Geo เครื่องเกมในตำนานที่นักเล่นเกมในยุคนั้นได้แต่ฝันถึง เพราะเครื่องเกมตัวนี้จะมีตลับที่ราคาแพงถึงแพงมาก ๆ (ตลับเกมแพงกว่าเครื่อง) และที่ทำให้ตลับเกม Neo Geo แพงนั้น ก็เพราะตัวเกมนั้นสามารถจำลองรูปแบบของเกมตู้ในยุคนั้นออกมาได้อย่างใกล้เคียงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเกม Fatal Fury, Art of Fighting, Samurai Spirits และเกม The King of Fighters ซีรีส์ ที่เป็นสิ่งที่นักเล่นเกมในยุคนั้นต้องการเล่นมากที่สุด จนมีเรื่องเล่าสืบต่อกันในยุคนั้นว่า บ้านใครที่มีเครื่อง Neo Geo ก็เหมือนมีเกมตู้อยู่ในบ้านเลยทีเดียว ตัวเครื่องวางจำหน่ายในปี 1990 มียอดขายอยู่ที่ 1 ล้านเครื่องก่อนจะยกเลิกการผลิตในปี 1997 และตอนนี้ก็มี Neo Geo Mini ให้หามาสะสมอีกด้วย

Neo Geo

Apple Bandai Pippin

Apple Bandai Pippin

เชื่อว่าหลายคนคงจะทำหน้าสงสัยว่ามีเครื่องเกมชื่อแปลก ๆ อย่าง Apple Bandai Pippin อยู่ในวงการนี้ด้วย ? ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นการร่วมมือกันของ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ในตอนนั้นอย่าง Apple บริษัทผลิตคอมพิวเตอร์(ตอนนั้นยังไม่ได้ทำโทรศัพท์) กับบริษัทของเล่นยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่นอย่าง Bandai ที่ร่วมมือกันทำเกมขึ้นมา พร้อมกับ CPU PowerPC 603 RISC (66 MHz) วางจำหน่ายในปี 1996 พร้อมเกมการ์ตูนมากมายที่ถูกเข็นออกมา แต่ตัวเกมกลับไม่ได้รับความนิยมเพราะตัวเครื่องราคาค่อนข้างแพงแถมมีเกมรองรับไม่มาก เครื่อง Apple Bandai Pippin จึงมาเร็วไปเร็วจนหลายคนแทบไม่รู้จัก เพราะหนึ่งปีหลังจากวางจำหน่ายเครื่องเกมก็ถูกยกเลิกการผลิตไป ด้วยยอดขายเพียง 42,000 เครื่องเท่านั้น และเครื่องเกมตัวนี้ก็ถือเป็นของหายากชิ้นหนึ่งในวงการเกมเลยทีเดียว

Apple Bandai Pippin

Atari Jaguar

Atari Jaguar

มาถึง Generation ที่ 5 ที่เป็นยุคของ 32 Bit ที่มี PlayStation ของ Sony ยึดตลาดต่อจาก Nintendo โดยมี Sega Saturn และ Nintendo 64 ตามมาติด ๆ ซึ่งทุกคนคงจะรู้จัก 3 เครื่องนี้ดีอยู่แล้วเราจึงไม่ขอหยิบมาพูดถึง และนอกจาก 3 เครื่องเกมที่ห้ำหั่นกันแล้วก็ยังมีเครื่องเกมชื่อแปลก ๆ อย่าง Atari Jaguar มาร่วมในสงครามครั้งนี้ด้วย  ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าทาง Atari ได้กลับมาอีกครั้งหลังจากหายไปนานพร้อม กับระบบเกม 64 Bit เครื่องแรกของโลก ตัวเครื่องวางจำหน่ายในปี 1993 นับเป็นการชิงตลาดก่อนเพื่อนในรูปแบบของตลับ พร้อมกับตัวควบคุมที่ยังคงอ้างอิงรูปแบบเก่า ก่อนจะมีการเพิ่มระบบ CD ลงไปที่เป็นอุปกรณ์เสริมเหมือนกับ Sega CD เพื่อแข่งกับ PlayStation ของ Sony พร้อมเกมที่หลายคนคุ้นเคยอย่าง Rayman แต่ตัวเครื่องกลับมียอดขาย 250,000 และถูกยกเลิกการผลิตในปี 1996

Atari Jaguar

3DO

3DO

ภายในปีเดียวกันที่ Atari Jaguar วางจำหน่ายทาง Panasonic ก็อยากมีส่วนร่วมในตลาดนี้จึงผลิตเครื่อง 3DO ออกมาพร้อมกราฟิก 3D ที่สวยงามล้ำยุคกับเกมต่าง ๆ มากมายกว่า 263 เกม หนึ่งในนั้นคือเกมสยองขวัญระดับตำนานอย่าง D ที่ในยุคนั้นทุกคนต่างตะลึงในความสวยของกราฟิก ที่เรากล้าพูดเลยว่ากราฟิกบนเครื่อง 3DO นั้นให้ภาพที่สวยกว่า PlayStation และยังมีเกมชื่อดังมากมายอย่าง Doom, Alone in the Dark ทั้ง 2 ภาคไปจนถึงเกมต่อสู้ชื่อดังอย่าง Super Street Fighter II Turbo แต่ด้วยราคาเครื่องกับแผ่นเกมที่สูงเกินไป บวกกับเครื่องเกมรุ่นใหม่อย่าง PlayStation ที่มาตีตลาดจึงทำให้  3DO ค่อย ๆ หายไปจากตลาด จนมียอดขายเพียง 2 ล้านเครื่องและยกเลิกการผลิตในปี 1997

3DO

32X

32X

ยัง ๆ ไม่หมดกับ Sega Genesis หรือ Mega Drive เพราะหลังจากที่ผลิตอุปกรณ์เสริมอย่าง Sega CD ออกมาเพื่อเล่นเกมในยุคที่แล้ว ทาง Sega ก็เข็นอุปกรณ์เสริมตัวใหม่อย่าง 32X ออกมาเพื่อต่อเพิ่มลงบนเครื่อง Mega Drive เพื่อเล่นเกม CD แบบ 32 Bit ได้ พร้อมเกมที่ออกมารองรับมากมายอย่าง  Mortal Kombat II และ Virtua Fighter เกมที่โด่งดังมาก ๆ ในยุคนั้นบนเกมตู้มาลงบนเครื่องนี้ แต่ด้วยความที่มันเป็นเพียงอุปกรณ์เสริม และต้องใช้งานควบคู่ไปกับ Mega Drive และ Sega CD ด้วยจึงจะทำงานได้จึงทำให้มันไม่ค่อยได้รับความนิยม และมีเกมออกมาแค่ 40 เกมกับยอดขายเพียง 800,000 เครื่อง ก่อนที่ทาง  Sega จะหันมาพัฒนาเครื่องเกมตัวใหม่จนออกมาเป็น Sega Saturn ในปี 1995 ส่วนตัว 32X นั้นยุติการผลิตในปี 1996

32X

Dreamcast

Dreamcast

ข้ามมาถึง Generation ที่ 6 ที่อยู่ในยุคที่เครื่อง PlayStation 2 กำลังครองตลาดกินรวบหมด แต่ก็ยังมีค่ายเกมอย่าง Sega, Microsoft และ Nintendo เข็นเครื่องเกมออกมาแข่ง โดยทาง Sega ได้ส่ง Dreamcast มาเข้าร่วม ที่ตัวเกมมาพร้อมกับตัวควบคุมสุดแปลกเพราะเราสามารถใส่ Visual Memory ที่นอกจากจะเป็นตัวบันทึกความจำแบบ Memory Card ของ PlayStation 2 แล้ว มันยังสามารถเอามาเล่นเป็นมินิเกมแบบ PocketStation ที่ทาง Sony เคยทำได้ด้วย ขณะที่ตัวเกมในตอนนั้นก็มี Resident Evil Code Veronica ที่เป็นภาคล่าสุดที่มีเฉพาะเครื่องนี้ จนหลายคนต่างเทใจให้ ขณะที่หลายคนได้แต่มองคนอื่นเล่นเกมนี้ด้วยความอิจฉา เพราะ Capcom บอกว่าเกมนี้จะลงบน Dreamcast เท่านั้น(แต่สุดท้ายก็ลงบน PlayStation 2) และแม้จะมีเกมเด่น ๆ มากมายก็สู้ความแรงของ PlayStation 2 ไม่ไหว จนยกเลิกการผลิตในปี 2001 กับยอดขาย 9.13 ล้านเครื่อง

Dreamcast

GameCube

GameCube

อีกหนึ่งคู่แค่ใน Generation ที่ 6 ของฝั่ง Nintendo ที่ส่งเครื่องเกมรูปทรงประหลาดที่เรียกว่า GameCube มาลงแข่ง พร้อมกับแผ่นบันทึกข้อมูลแบบใหม่ในยุคนั้นที่เรียกว่า  MiniDVD ที่มีขนาดเล็กกว่าแผ่น DVD ที่เครื่องเกมยุคนั้นใช้กัน พร้อมกับเกมเด่นดังที่นำออกมาจูงใจผู้เล่นอย่าง Resident Evil 4, Resident Evil 0 พร้อมกับตัวประมวลผลแบบใหม่ที่แรงกว่า PlayStation 2 แถมยังสามารถต่อกับ Game Boy Advance เพื่อเล่นเกมต่าง ๆ ได้ด้วย เรียกว่าคราวนี้ทาง Nintendo จะไม่พลาดแบบที่เคยทำบน Nintendo 64 ที่เป็นแบบตลับขณะที่คนอื่นใช้แผ่น CD แต่ดูเหมือนการใช้ MiniDVD ที่ต่างกับคนอื่นในตลาดก็เป็นการซ้ำรอบแบบเดียวกับ Nintendo 64 ไม่มีผิด ตัวเกมยกเลิกการผลิตในปี 2007 มียอดขาย 21.15 ล้านเครื่องเรียกว่าน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับ PlayStation 2 แต่ก็ยังขายดีกว่า Dreamcast

GameCube

Xbox

Xbox

ในช่วงปี 2001 ปีเดียวกับที่เครื่อง GameCube ของ Nintendo เปิดตัวทาง Microsoft ก็เริ่มหันมาทำตลาดเกมคอนโซล ด้วยการเปิดตัวเครื่องเกม Xbox ที่เป็นเครื่องเกมขนาดใหญ่ที่สุดในยุคนั้น จนบ้านเราเรียกเครื่องนี้ว่าเขียงหมูกับ CPU 733 MHz Intel Pentium III Processor Graphics Nvidia GeForce 3-based NV2A GPU @ 233 MHz ที่เรียกว่าทรงพลังที่สุดในตอนนั้นเลย และจุดเด่นที่ Xbox มีนั่นคือการเชื่อมต่อเพื่อเล่น Online ได้สมบูรณ์แบบที่สุดใน 4 เครื่อง แต่ตัวควบคุมกลับมาเป็นปัญหากับชาวเอเชียตรงที่มันมีขนาดใหญ่เกินไป จนหลายคนที่ซื้อมาบ่นกันถึงการจับที่ไม่ถนัดมือ ก่อนที่ทาง Microsoft จะปรับลงมาให้เหมาะสม ตัวเครื่องมียอดขายกว่า 24 ล้านเครื่องและยกเลิกการผลิตในปี 2009

Xbox

Wii U

Wii U

ปิดท้ายกับการกระโดดข้ามมาที่ Generation ที่ 8 กับเครื่องเกมที่ออกมาดูโลกไม่นานก็ถูกทิ้งโดยต้นสังกัด กับ Wii U เครื่องเกมที่สานต่อความสำเร็จจาก Nintendo Wii ที่แย่งตลาดใน Generation ที่ 7 มาได้ พอมายุคต่อมาทาง Nintendo ก็เหมือนจะจับทางได้ว่าจุดขายของตนเองคือความแปลกแหวกแนวและไม่ซ้ำใคร ทาง Nintendo จึงสร้างเครื่อง Wii U ขึ้นมาโดยเน้นไปที่ตัวควบคุมที่เป็นจอขนาดเล็ก ที่สามารถเล่นเกมได้โดยที่ไม่ต้องใช้ทีวี หรือถ้าต่อกับทีวีจอนี้ก็จะเป็นตัวแสดงค่าต่าง ๆ แบบ Nintendo DS และยังสามารถใช้อุปกรณ์ร่วมกับ Nintendo Wii ได้ด้วย แต่สุดท้ายด้วยความโด่งดังของ PlayStation 4 และปัญหาหลาย ๆ อย่างที่มีจึงทำให้ Wii U ไม่ได้รับความนิยมจนสุดท้าย Nintendo ก็ทิ้งเครื่องและหันไปพัฒนา Nintendo Switch ออกมา และตอนนี้เครื่อง Wii U ได้ยกเลิกการผลิตไปในปี 2007 ยอดขายอยู่ที่ 13.56 ล้านเครื่องเท่านั้น

Wii U

ก็จบกันไปแล้วกับ 20 เครื่องเกมคอนโซลยุคเก่าตั้งแต่อดีตในยุคต่าง ๆ ที่เราหยิบยกมานำเสนอ  โดยเราขอข้ามเครื่องเกมพกพากับเครื่องเกมที่หลายคนรู้จักเป็นอย่างดีอย่าง  PlayStation หรือ Nintendo Wii แต่จะเน้นที่เครื่องเกมที่คนไม่ค่อยรู้จักมานำเสนอ ซึ่งถ้าขาดเครื่องเกมตัวไหนไปก็ขออภัยมาด้วย และถ้าใครมีเครื่องเกมในดวงใจเครื่องไหนก็เอามาโชว์มาพูดคุยกันได้ ส่วนคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรก็ติดตามกันได้ที่นี่ที่เดียว

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส