ในความเป็นจริงถือเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ไอโฟนหรือสมาร์ทโฟนทุกรุ่นที่เราซื้อมานั้นจะค่อยๆ เสื่อมสภาพลงไปตามการใช้งานอยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรให้แบตเตอรีเสื่อมช้าลงมากที่สุดได้ล่ะ? เริ่มจากเรามาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานสมาร์ทโฟนที่เราเข้าใจกันผิดๆ 5 เรื่องหลักๆ กันดีกว่า

1. ใช้งานไอโฟนในแวดล้อมที่ร้อนจัดหรือเย็นเกินไป 

การใช้ไอโฟนบนสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิภายนอกสูงเกินกว่า 25 องศาเซลเซียส จะทำให้แบตเตอรีสูญเสียความสามารถในการเก็บประจุไฟไปถึง 20% ต่อปี ขณะที่หากใช้งานในอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ก็จะทำให้แบตเตอรีเสียความสามารถในการเก็บประจุไฟไปคิดเป็น 6% ต่อปี และไม่ควรใช้ iPhone ในพื้นที่ที่อุณหภูมิสูงกว่า 35 องศาเซลเซียส เพราะอาจทำให้แบตเตอรี่เสียหายถาวร

2. ปล่อยให้แบตเตอรีไอโฟนหมดเกลี้ยงแล้วค่อยมาชาร์จเต็ม

เจ้าแบตเตอรี Lithium บนไอโฟนเนี่ยมันจะมีรอบในการชาร์จที่เรียกว่า Charge Cycle ซึ่งทาง Apple ระบุว่า ไอโฟนนั้นสามารถชาร์จได้ 500 Cycle ก่อนที่ประสิทธิภาพของแบตฯ จะลดลงเหลือ 80% ซึ่งวิธีการนับ Cycle ของ Apple คือ 1 Cycle = 100% ยกตัวอย่างเช่น วันแรกใช้แบตฯ ไปเหลือ 50% และนำไปชาร์จจนเต็ม ต่อมาวันที่สองก็ใช้อีก 50% แล้วชาร์จเต็ม แบบนี้จะนับเป็น 1 Cycle (50+50=100%) ซึ่งคำแนะนำคือเราสามารถชาร์จได้เมื่อแบตฯ ลดเหลือ 50-80% แต่อย่าปล่อยให้หมดเกลี้ยงแล้วค่อยมาชาร์จเต็ม 100%

3. เปิดเครื่องอยู่ตลอดเวลา

การเปิดเครื่องไว้ตลอดเวลานั้นจะทำให้แบตเตอรีมีการคายประจุออกมาอยู่แล้ว และหากมีโอกาสก็ควรปิดเครื่องไปบ้างซึ่งก็จะทำให้เครื่องกลับมาลื่นมากขึ้นเพราะมันจะเป็นการรีเซ็ตแรมด้วยนั่นเอง

4. เปิดการเชื่อมต่อ Wi-Fi และ Bluetooth ไว้ตลอดเวลา

เวลาที่เราเปิดการเชื่อมต่อเอาไว้ ตัวไอโฟนจะพยายามสแกนหาสัญญาณเพื่อเชื่อมต่ออยู่ตลอดเวลา ทำให้ตัวไอโฟนไม่สามารถทำงานใน Sleep Mode ได้ ซึ่งจะมีส่วนทำให้กินพลังงานไปเรื่อยๆ ซึ่งเราเข้าไปปิดการเชื่อมต่อได้ง่ายๆ เพียงสไลด์แถบเมนูและแตะไปที่ไอคอน Wi-Fi และ Bluetooth ครับ

5. เปิดค่าความสว่างหน้าจอ 100% ตลอดเวลา

ถือเป็นสิ่งที่คนใช้ไอโฟนหลายคนยังนิยมทำกันอยู่เลย ซึ่งเป็นอีกสาเหตุของการสิ้นเปลืองแบตเตอรีอย่างมาก ซึ่งวิธีแก้ไขนั้นทำง่ายๆ ครับ ให้เลือกไปที่ Setting > Display & Brightness แล้วเลือกเปิด Auto-Brightness เพื่อให้ไอโฟนทำการปรับแสงหน้าจอให้อัตโนมัติ

อ้างอิง