นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจงว่ากรณี ซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (Silicon Valley Bank หรือ SVB) ที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง จนหน่วยงานกำกับดูแลการเงินของสหรัฐฯ ได้สั่งปิดกิจการเมื่อวันที่ 10 มีนาคมนั้น

ทั้งนี้ จากข้อมูลในตลาดการเงินโลก ธปท. พบว่าราคาหุ้นกลุ่มธนาคารโดยรวมปรับลดลง และราคาในการประกันความเสี่ยงปรับเพิ่มขึ้นจากความกังวลต่อการลุกลามไปยังธนาคารอื่น ๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเทคโนโลยีและคริปโทเคอร์เรนซี

อย่างไรก็ตาม การที่ทางการสหรัฐฯ ประกาศจะจ่ายคืนผู้ฝากทุกรายเต็มจำนวน และจัดตั้งกองทุน (Bank Term Funding Program) เพื่อปล่อยสภาพคล่องให้แก่ระบบธนาคาร น่าจะช่วยลดโอกาสที่สถานการณ์จะลุกลามจนส่งผลอย่างมีนัยต่อเสถียรภาพระบบสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ทั้งนี้ ธปท. จะติดตามสถานการณ์และผลกระทบต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด  

สำหรับสถานการณ์ในไทยนั้น ผลกระทบจากกรณี ซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ ต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยมีจำกัด เนื่องจากไม่มีธนาคารพาณิชย์ของไทยที่มีธุรกรรมโดยตรงกับ ซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ ในขณะที่ปริมาณธุรกรรมโดยรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยในฟินเทคและสตาร์ตอัปทั่วโลกมีน้อยกว่า 1 % ของเงินกองทุนของกลุ่มธนาคารพาณิชย์

นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ของไทยไม่มีการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงกลุ่มธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ไทยยังมีการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับต่ำ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 200 ล้านบาทเท่านั้น

ธปท. ขอย้ำว่า มีการกำกับดูแลธุรกรรมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล และ Venture Capital ที่เข้มงวด เช่น การให้หักเงินลงทุนในเหรียญออกจากเงินกองทุนชั้นที่ 1 (CET1) ในทุกกรณี รวมทั้งกำหนดเพดานการลงทุนและการกำกับความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ เพื่อป้องกันผลกระทบจากความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มธนาคารพาณิชย์ต่อเงินฝากของประชาชน  

สำหรับค่าเงินบาทนั้น ล่าสุด (13 มี.ค. 66) ปรับแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับสกุลเงินภูมิภาค ภายหลังนักลงทุนคาดการณ์ว่าเหตุการณ์ข้างต้นจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้เงินดอลลาร์ สรอ. ปรับอ่อนค่าลงเร็ว ซึ่งความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินสหรัฐฯ จะยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดการเงินโลกและความผันผวนของค่าเงินบาทในระยะถัดไป

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส