สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่าตามเมืองใหญ่ ๆ ของอินเดียกำลังเผชิญกับวิกฤตที่อยู่อาศัยที่ไม่เพียงพอและกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากอินเดียตั้งเป้าที่จะแซงหน้าจีนภายในปี 2027 เพื่อเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกตามรายงานขององค์การสหประชาชาติ

ปัจจุบันอินเดียมีประชากรราว 1.3 พันล้านคน ซึ่งก็มีชาวอินเดียจำนวนมากที่ต่างอพยพจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง เพื่อค้นหางานและโอกาสทางการศึกษาที่ดีขึ้น ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยเริ่มหายากและมีราคาแพงขึ้นด้วย โดยปัญหาดังกล่าวยังไม่ได้รับการแก้ไข จนนำไปสู่การตั้งถิ่นฐานและสลัมที่ผิดกฎหมาย

ปรียา วัย 24 ปีได้ย้ายจากบ้านเกิดที่รัฐราชสถานไปทำงานยังเมืองเดลี เขากล่าวว่า “อย่างที่รู้ ถ้าเราอยากได้งานดีๆ เราต้องย้ายมาอยู่ในเมือง ดังนั้นคุณก็รู้ ถ้าเราทำให้หมู่บ้านของเราพัฒนามากขึ้น มีการศึกษามากขึ้น ฉันคิดว่า ความเหลื่อมล้ำเหล่านี้จะไม่มี”

รายงานบอกว่าที่อยู่อาศัยแบบสลัมมักไม่ได้รับอนุญาตจากทางรัฐ เนื่องจากมีสุขาภิบาลที่ไม่ดี แถมระบบระบายน้ำก็มีการจัดการที่ไม่ถูกสุขอนามัย ส่งผลให้การจัดหาน้ำดื่มสะอาดจะเป็นเรื่องยาก รวมถึงยังหาไฟฟ้าใช้ยากด้วย

ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งของอินเดียกล่าวว่า “ในอีก 20 ปีข้างหน้า ผู้คนจะกลายเป็นมนุษย์กินเนื้อคน เนื่องจากไม่มีงานและไม่มีบ้าน”

รัฐบาลอินเดียเปิดตัวโครงการ Housing For All Mission ในปี 2015 โดยตั้งเป้าจะสร้างบ้านในเขตเมืองให้ได้ 20 ล้านยูนิตและบ้านในชนบทอีก 30 ล้านหลัง โดยมีกำหนดให้โครงการแล้วเสร็จในปี 2022 แต่ดูเหมือนว่ายังไม่พอกับประชากรอินเดียที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณทุกปี

ด้านรัฐอุตตรประเทศที่มีประชากรมากที่สุดของอินเดียเพิ่งเสนอกฎหมายที่มุ่งส่งเสริมนโยบายลูกสองคน ซึ่งคู่รักที่มีลูกมากกว่าสองคนจะไม่ได้รับอนุญาตให้รับผลประโยชน์หรือเงินอุดหนุนจากรัฐบาล และจะถูกห้ามไม่ให้สมัครงานราชการ

อ้างอิง

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส