ในงานประกาศรางวัลออสการ์ (Academy Awards) ครั้งที่ 96 ประจำปี 2024 ที่ผ่านมา มีนักแสดงหลายคนในหลากหลายสาขาที่ได้รับรางวัลออสการ์เป็นตัวแรกในชีวิต หนึ่งในนั้นก็คือ คิลเลียน เมอร์ฟี (Cillian Murphy) นักแสดงหนุ่มหล่อนัยน์ตาสีฟ้าชาวไอริช วัย 47 ปี ที่สามารถคว้ารางวัลออสการ์ในสาขาสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากการแสดงในภาพยนตร์ ‘Oppenheimer’ ทำให้เมอร์ฟีกลายเป็นนักแสดงเชื้อชาติไอริชคนแรกที่ได้รางวัลนี้มาครองอีกด้วย

แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ เขาเองเคยผ่านการแสดงในหนังหลายเรื่อง ตั้งแต่ ’28 Days Later’ (2002) หนังระดับฮอลลีวูดเรื่องแรก ก่อนจะได้มาร่วมงานกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) เป็นครั้งแรกในการรับบทเป็น ดอกเตอร์ โจนาธาน เครน (Dr. Jonathan Crane) หรือวายร้าย สแกร์โครว์ (Scarecrow) ใน ‘Batman Begins’ (2005) ที่ทำให้คอหนังได้รู้จักกับเขามากขึ้น

แต่ยังมีอีกบทบาทของเขาที่หลายคนอาจนึกไม่ออก นั่นก็คือนั่นก็คือการรับบทเป็น แจ็กสัน ริปป์เนอร์ (Jackson Rippner) หนุ่มเจ้าเสน่ห์ผู้มีแผนชั่วร้าย ในหนังทริลเลอร์จิตวิทยาเรื่อง ‘Red Eye’ ผลงานการกำกับโดยเจ้าพ่อหนังเขย่าขวัญ เวส คราเวน (Wes Craven) ที่เข้าฉายในปีเดียวกันหลังจาก ‘Batman Begins’ เข้าฉายไม่กี่เดือน

แม้ว่านี่จะเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นเส้นทางการแสดงของเขา แต่เมอร์ฟีกลับไม่ได้รู้สึกประทับใจในผลงานของตัวเองในอดีตมากนัก เขาเปิดเผยว่าเขาเองไม่ได้ดูผลงานหนังที่เขาแสดงหลายเรื่อง โดยเฉพาะถ้าหนังเรื่องไหนที่เขาได้ยินมาว่ากระแสไม่ค่อยจะดีนักเมอร์ฟีได้เปิดเผยเรื่องนี้กับนิตยสาร GQ เกี่ยวกับความรู้สึกไม่ประทับใจในตัวหนัง และการแสดงของเขาเองในหนังที่เขาไม่เคยคิดอยากจะดูซ้ำ

“ถ้าเอาโดยทั่วไป เรื่องที่ผมไม่ได้ดูคือเรื่องที่ผมได้ยินมาว่ามันไม่ค่อยดี ผมรัก ราเชล แม็กอดัมส์ นะครับ และเราทั้งคู่ก็สนุกในการเล่นหนังเรื่องนี้ แต่ผมไม่คิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดี มันเป็นแค่หนังเกรดบีที่ดี”

Cillian Murphy Rachel McAdams Red Eye

เหตุผลสำคัญที่เขายอมเซ็นสัญญารับเล่นหนังเรื่องนี้ นอกจากจะเป็นเรื่องของการอยากทดลองสิ่งใหม่ ๆ ด้วยการรับบทที่มีความซับซ้อนมากขึ้นแล้ว เหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ การได้ร่วมแสดงกับ ราเชล แม็กอดัมส์ (Rachel McAdams) นางเอกสาวชาวแคนาดาผู้รับบทเป็น ลิซา ไรเซิร์ต (Lisa Reisert) ผู้ตกเป็นเหยื่อของแจ็กบนเครื่องบิน ซึ่งตอนนั้นเธอเริ่มมีชื่อเสียงแล้วใน ‘Mean Girls’ (2004) และ ‘The Notebook’ (2004) และเมอร์ฟีเองก็ปลาบปลื้มในผลงานของเธออยู่เป็นทุนเดิม

“ผมรู้ว่ามันฟังดูบ้านะ ผมคิดว่า ด้วยความที่มันเป็นสิ่งที่คู่กันของมันนี่แหละที่ทำให้ผมอยากรับเล่นหนังเรื่องนี้ ความเป็น 2 สิ่งนั้น ทั้งการเป็นคนดีและคนเลวในคน ๆ เดียวกัน รู้ไหม เหตุผลเดียวที่ทำให้ผมสนใจก็คือ การที่ผมสามารถทำแบบนั้นได้เพียงแค่แบบ… (ดีดนิ้ว) เปลี่ยนได้ทันที”

แม็กอดัมส์เคยเล่าถึงความประทับใจในการทำงานของเธอกับเมอร์ฟีกับนิตยสาร GQ ด้วยเช่นกัน เธอเล่าว่า เมอร์ฟีมักจะพูดจากับเธออย่างเรียบร้อย ตลอดเวลาที่ทั้งคู่ทำงานด้วยกันบนฉากเครื่องบินแคบ ๆ ในกองถ่าย และทั้งคู่มักจะใช้เวลาพักกองในการทำอะไรสนุก ๆ ร่วมกัน

“บางครั้งคนที่ใจดีที่สุดก็เป็นตัวร้ายที่เก่งที่สุดค่ะ (ในระหว่างกองถ่าย) เราทั้งคู่จะฟังเพลงและสนุกกับการไขปริศนาอักษรไขว้ที่เขาเอามาด้วยทุกวัน และเขามักจะขอความคิดเห็น (จากฉัน) อย่างสุภาพ… ฉันคิดว่าคำถามแรกที่ฉันสงสัยเกี่ยวกับคิลเลียนตอนนั้นก็คือ เขาใส่คอนแท็กต์เลนส์ไหมนะ…”

ใน ‘Red Eye’ เป็นเรื่องราวของลิซา ผู้จัดการโรงแรมที่เกลียดการขึ้นเครื่องบิน แต่เธอต้องจำยอมขึ้นเครื่องบินเพื่อเดินทางกลับบ้าน จนกระทั่งเธอได้พบกับ แจ็ก ชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่ทำท่าจะเข้ามาเกี้ยวพาราสีเธอ แต่หลังจากเครื่องเทคออฟ แจ็กค่อย ๆ เปิดเผยตัวตนและเหตุผลที่แท้จริงในการขึ้นเครื่องบินไฟลต์เดียวกันกับเธอ ลิซาต้องเอาตัวรอดจากวายร้ายโรคจิตบนเครื่องบินแคบ ๆ ที่บินเหนือน่านฟ้า 30,000 ฟุต เพื่อช่วยเหลือพ่อของเธอไม่ให้ถูกลอบสังหาร

ประสบการณ์การแสดงของทั้งคู่ที่โจษจันมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ ฉากที่แจ็กข่มขู่ลิซาในห้องน้ำบนเครื่องบิน ในระหว่างถ่ายทำฉากนี้ เมอร์ฟีที่ต้องบีบคอของแม็กอดัมส์และเหวี่ยงไปอีกฝั่งของห้องน้ำ แต่กลับพลาดท่าจนเหวี่ยงจนหัวของแม็กอดัมส์ฟาดเข้ากับผนัง

ผลก็คือ แม็กอดัมส์หมดสติไปนานกว่า 30 นาที จนกระทั่งเมอร์ฟีเองก็ไม่กล้าที่จะแสดงต่อ แต่ด้วยสปิริต แม็กอดัมส์ฟื้นและพร้อมจะแสดงต่ออีกครั้ง โดยเมอร์ฟีต้องคอยใช้มือรองที่หลังศีรษะของเธอไว้เพื่อป้องกันเหตุซ้ำรอย โดยคัตที่ปรากฏในหนังจะมองเห็นมือของเมอร์ฟีที่คอยประคองศีรษะของเธอเอาไว้ด้วย (แวบ ๆ )

Cillian Murphy Rachel McAdams Red Eye

เมอร์ฟีเคยเปิดเผยความรู้สึกไม่ชอบหนังเรื่องนี้มาก่อนกับ Uproxx เพราะเขามองว่าหนังเรื่องนี้มีความประหลาด แม้ภายหลังหนังเรื่องนี้จะได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวก และทำรายได้ในระดับที่เรียกว่าประสบความสำเร็จด้วยตัวเลข 96 ล้านเหรียญ จากทุนเพียง 26 ล้านเหรียญ

“สิ่งที่ผมอยากบอกตรงไปตรงมาก็คือ ผมไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้เลยตั้งแต่ตอนออกฉายเมื่อ 15-16 ปีที่แล้ว ไม่ว่าจะฉายตอนไหนก็ตาม ตอนนั้นที่ผมยังเป็นนักแสดงรุ่นเยาว์ ผมเข้มงวดกับทุกสิ่งทุกอย่าง ผมเกลียดการดูตัวเอง ผมเกลียดการดูตัวเองบนหน้าจอ ผมจำได้ว่า ตอนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ผมก็แบบว่า โอ้ นี่มันเป็นหนังเกรดบีที่ดูประหลาดมาก แต่ ราเชล แม็กอดัมส์ เองก็แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ผมเองไม่คิดว่าผมจะแสดงออกมาได้ลงตัวมากนัก”

“แต่ฟังนะครับ ถ้าผู้คนคิดว่ารักหนังเรื่องนี้มันก็เป็นอะไรที่เยี่ยมมาก และผมเองก็พอใจกับสิ่งนั้น ตอนนี้ผมวิพากษ์วิจารณ์งานของผมเองน้อยลง แต่ถ้าพูดตามตรง กับหนังเรื่องนี้ มันก็ยังอาจจะมีติด ๆ มาบ้าง”