ในปี 2024 นี้เป็นวาระครบรอบ 20 ปีของการเข้าฉายภาพยนตร์ ‘Harry Potter and the Prisoner of Azkaban’ (2004) หรือ ‘แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน’ หนังภาคที่ 3 จากทั้งหมด 7 ภาค 8 ตอนของแฟรนไชส์พ่อมดน้อย แฮร์รี่ พอตเตอร์ (Harry Potter) ที่ถือเป็นรอยต่อสำคัญที่ได้เห็น 3 นักแสดงนำทั้ง แดเนียล แรดคลิฟฟ์ (Daniel Radcliffe) เจ้าของบท แฮร์รี่ พอตเตอร์, รูเพิร์ต กรินต์ (Rupert Grint) เจ้าของบท รอน วีสลีย์ และเอ็มมา วัตสัน (Emma Watson) เจ้าของบท เฮอร์ไมโอนี เกรนเจอร์ ที่เติบโตขึ้นจากเด็กน้อยสู่การเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาวแบบเต็มตัว

ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการเข้ามารับหน้าที่กำกับของอัลฟอนโซ กัวรอน (Alfonso Cuarón) ผู้กำกับชาวเม็กซิกันเจ้าของรางวัลออสการ์ที่มีผลงานหลากหลายมากมาย ทั้งหนังขวัญใจสายอินดี้ ‘Y tu mamá también’ (2001) หนังแมส ‘Children of Men’ (2006), ‘Gravity’ (2013) หนังสายรางวัล ‘Roma’ (2018)

เนื่องในวาระครบรอบ 2 ทศวรรษของภาค ‘Prisoner of Azkaban’ กัวรอนได้มีโอกาสให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร Total Film ฉบับล่าสุด ซึ่งเขาได้เปิดเผยว่า ข้อตกลงที่ Warner Bros. Pictures ตัดสินใจดึงเขามากำกับหนังภาคที่ 3 ของ ‘Harry Potter’ นับเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก ๆ เพราะแม้ว่าเขาจะเคยผ่านงานกำกับหนังเด็กแฟนตาซีใน ‘A Little Princess’ (1995) มาแล้วก็ตาม

Alfonso Cuarón Emma Watson Harry Potter and the Prisoner of Azkaban

แต่ก่อนหน้านั้น เขาเพิ่งผ่านงานหนังอินดี้แนว Road Movie สุดอีโรติกอย่าง ‘Y tu mamá también’ มาหมาด ๆ และเขาเองก็ไม่เคยรู้จักมักคุ้น ไม่เคยอ่านหนังสือ และมองข้ามโลกแห่งเวทมนตร์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์ไป ทำให้เพื่อนซี้ กีเยร์โม เดล โตโร (Guillermo del Toro) เพื่อนผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ และคนเขียนบทสายแฟนตาซีชาวเม็กซิกันถึงกับแซวเขาแบบแรง ๆ ตรงไปตรงมา

“ตัวผมเองสับสนมาก เพราะมันไม่ได้อยู่ในความสนใจของผมเลย ผมพูดคุยกับกีเยร์โม เดล โตโร อยู่บ่อย ๆ และ 2-3 วันหลังจากนั้นผมก็บอกเขาว่า ‘นายรู้ไหม พวกเขาเสนอหนัง ‘Harry Potter’ ให้ฉันว่ะพวก แต่มันแปลกตรงที่พวกเขาเสนอหนังเรื่องนี้ให้ฉันนี่แหละว่ะ'”

“เขาเลยพูดว่า เดี๋ยว ๆ ๆ ๆ อย่าบอกนะว่านายยังไม่ได้อ่าน ‘Harry Potter’ น่ะ ?’ ผมบอกไปว่า ‘ฉันคิดว่ามันไม่เหมาะกับฉันเลยว่ะ’ เขาเลยบอกด้วยถ้อยคำอันหรูหราในภาษาสเปนที่หมายความว่า ‘-ึงนี่มันโคตรจะอีโก้จัดเลยว่ะให้ตาย'”

หลังจากที่คริส โคลัมบัส (Chris Columbus) กำกับ 2 ภาคแรก ทั้ง ‘Harry Potter and the Philosopher’s Stone’ (2001) และ ‘Harry Potter and the Chamber of Secrets’ (2002) ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ทำให้หนังชุดนี้กลายเป็นแฟรนไชส์หนังยอดนิยมไม่แพ้กับฉบับหนังสือ กัวรอนได้มีโอกาสเข้ามากำกับงานสเกลบล็อกบัสเตอร์เป็นครั้งแรก การมาของกัวรอนทำให้แฟรนไชส์นี้มีบรรยากาศที่ซีเรียสและมืดหม่นอึมครึมกว่า 2 ภาคที่ผ่านมา

รวมทั้งการเปิดตัวนักแสดงใหม่อีกหลายคน อาทิ แกรี โอลด์แมน (Gary Oldman) รับบทเป็น ซีเรียส แบล็ก (Sirius Black) หรือเท้าปุย รวมทั้งการเปลี่ยนตัวนักแสดงผู้รับบท อัลบัส ดัมเบิลดอร์ (Dumbledore) จาก ริชาร์ด แฮร์ริส (Richard Harris) ผู้ล่วงลับ เป็น ไมเคิล แกมบอน (Michael Gambon) และยังรวมทั้งงานด้านภาพ และเทคนิค Long Take

รวมทั้งการให้นักแสดงเด็ก ๆ สวมชุดลำลองแทนการสวมเครื่องแบบของโรงเรียนฮอกวอตส์ เพื่อทำให้บรรยากาศในหนังดูเป็นกันเองมากขึ้น จนสามารถทำรายได้ Box Office ทั่วโลก 804 ล้านเหรียญ อาจไม่เทียบเท่ากับภาคอื่น ๆ แต่ทำคะแนนวิจารณ์บนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes สูงถึงกว่า 90% ซึ่งนับว่าสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของแฟรนไชส์

Alfonso Cuarón Harry Potter and the Prisoner of Azkaban

เบื้องหลังของการเลือกกัวรอนมาเป็นผู้กำกับให้กับภาคนี้ก็คือ เดวิด เฮย์แมน (David Heyman) โปรดิวเซอร์หนัง ‘Harry Potter’ ทุกภาค ที่แม้ไอเดียนี้จะดูแปลกที่แปลกทางไปนิด แต่หลังจากที่เขาได้ชม ‘Y tu mamá también’ ที่มีแก่นเนื้อหาของความเป็น Coming-of-Age เขากลับรู้สึกว่า วิสัยทัศน์ของกัวรอนน่าจะไปกันได้กับภาคนี้

“ผมเคยดู ‘Y tu mamá también’ แล้วชอบมากครับ ผมเลยคิดแบบประหลาด ๆ ว่า เขาน่าจะเป็นผู้กำกับที่สมบูรณ์แบบสำหรับ ‘Harry Potter’ ภาคที่ 3 นั่นอาจไม่ใช่สิ่งที่บางคนคิด แต่นึกภาพตามออกไหมครับว่า แฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี จะลุกขึ้นมาทำอะไร ถ้าพวกเขาได้ดู ‘Y tu mamá también’ แล้ว”

“‘Y tu mamá también’ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับช่วงเวลาสุดท้ายของการเป็นวัยรุ่น (ที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่) และ ‘Azkaban’ คือเรื่องเกี่ยวกับช่วงเวลาแรกของการเป็นวัยรุ่น ผมรู้สึกว่า เขาน่าจะสามารถทำให้การแสดงออกมารู้สึกร่วมสมัยได้ และเป็นการนำเอาเวทมนตร์ของเขาเข้ามาใส่ไว้ (ใน ‘Harry Potter’) ด้วย”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เดล โตโร ใช้คำด่าในเชิงแซวกัวรอนที่ทำท่าลังเลไม่อยากกำกับหนังบล็อกบัสเตอร์ยอดนิยมในเวลานั้น ในเทศกาลภาพยนตร์เทลลูไรด์ (45th Telluride Film Festival) ในปี 2018 เดล โตโร เคยพูดแซวถึงกัวรอนตอนที่ลังเลว่าจะกำกับ ‘Prisoner of Azkaban’ ว่า “โธ่ไอ้แห้งเอ๊ย…นายนี่มันโคตรจะงี่เง่าจองหองเลยว่ะ รีบไปหาหนังสือมาอ่านซะเดี๋ยวนี้เลย แล้วพออ่านแล้วก็ค่อยโทรหาฉันอีกทีนะโว้ย”

กัวรอนอธิบายพร้อมกับยอมรับว่า หลังจากที่อ่านหนังสือไปแล้ว เขาก็ตกหลุมรักหนังสือชุดนี้อย่างรวดเร็ว “ตอนนั้นหนังสือเล่มที่ 4 เพิ่งจะออก ผมอ่าน 2 เล่มแรกไปแล้ว และอ่านเล่ม 3 ไปได้ครึ่งทาง นั่นคือสิ่งที่พวกเขาเสนอให้ผมกำกับ ผมเลยโทรหา (เดล โตโร) แล้วบอกว่า ‘มันยอดเยี่ยมไปเลยว่ะ’ แล้วเขาก็ตอบกลับว่า ‘นั่นไง เห็นไหมว่านายนี่มันโคตรจะ…’ คือไอ้คำนี้มันแปลจากภาษาสเปนไม่ได้น่ะนะครับ”