นับเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่ ‘Let It Be’ (1970) ภาพยนตร์สารคดีบันทึกการซ้อม บันทึกเสียงสตูดิโออัลบั้มชุดสุดท้าย ‘Let It Be’ ของวงดนตรีร็อกในตำนาน เดอะ บีตเทิลส์ (The Beatles) ผลงานการกำกับโดย ไมเคิล ลินด์เซย์-ฮ็อกก์ (Michael Lindsay-Hogg) ได้ถูกปล่อยร้างโดยที่ไม่มีการนำกลับมาบูรณะ (Restoration) หรือแม้แต่ไม่เคยมีการนำมา Reissue เพื่อวางจำหน่ายอีกเลย ในปีนี้จึงถือเป็นครั้งแรกในรอบ 54 ปีที่จะมีการนำเอาสารคดีต้นฉบับ ‘Let It Be’ ของลินด์เซย์-ฮ็อกก์มาบูรณะใหม่ และออกฉายให้ชมพร้อมกันทั่วโลกบนแพลตฟอร์ม Disney+ ในวันที่ 8 พฤษภาคมที่จะถึงนี้

เมื่อปี 2021 ปีเตอร์ แจ็กสัน (Peter Jackson) ผู้กำกับภาพยนตร์เจ้าของรางวัลออสการ์ ได้นำเอาฟุตเทจที่ไม่เคยถูกใช้จากสารคดี ‘Let It Be’ ที่ลินด์เซย์-ฮอกก์ บันทึกไว้ในปี 1969 ความยาวเกือบ 60 ชั่วโมง รวมทั้งแทร็กเสียงความยาวกว่า 150 ชั่วโมงจากคลังของ Apple Corps มาทำการบูรณะใหม่จนกลายเป็น ‘The Beatles: Get Back’ มินิซีรีส์ 3 ตอนที่มีฟุตเทจและเนื้อหาที่ไม่เคยปรากฏในสารคดีต้นฉบับอยู่ด้วย ซึ่งได้ทำการฉายทั้งในระบบ IMAX และออกฉายบน Disney+ รวมทั้งยังได้รับรางวัลจากเวที Primetime Emmy Awards ทั้งหมด 5 รางวัลอีกด้วย

โดย ‘Let It Be’ เป็นสารคดีที่พาผู้ชมไปพบกับช่วงเวลาสุดท้ายของการทำงานร่วมกันของสมาชิกวงทั้ง จอห์น เลนนอน (John Lennon), พอล แม็กคาร์ตนีย์ (Paul McCartney), จอร์จ แฮร์ริสัน (George Harrison), และ ริงโก สตาร์ (Ringo Starr) ที่เริ่มแยกย้ายให้กลับมาทำงานด้วยกันอีกครั้ง และบันทึกช่วงเวลานั้นเป็นภาพยนตร์เอาไว้ตามดำริของแม็กคาร์ตนีย์ โดยสารคดีชุดนี้เผยให้เห็นช่วงเวลาบรรยากาศอันหลากหลาย ทั้งความจริงจังของแม็กคาร์ตนีย์ในฐานะหัวหน้าวงจำเป็น, ความรักของจอห์นกับ โยโกะ โอโนะ (Yoko Ono), ความกดดันของแฮร์ริสันที่ทำให้เขาถึงกับลาออกจากวงชั่วคราว และความเป็นกันเองของสตาร์ รวมทั้งรอยร้าวของสมาชิกวงทั้ง 4 ที่เริ่มเห็นรอยปริแตก

Ringo Starr, Paul McCartney, John Lennon, and George Harrison in THE BEATLES GET BACK. Photo courtesy of Apple Corps Ltd

รวมทั้งขั้นตอนการซ้อมและบันทึกเสียง Studio Album 2 ชุดสุดท้ายทั้ง ‘Abbey Road’ และ ‘Let It Be’ ตั้งแต่การบันทึกเสียงใน Sound Stage ที่ทวิกเกนแฮม ฟิล์ม สตูดิโอ (Twickenham Film Studios) และย้ายไปบันทึกเสียงในห้องบันทึกเสียงที่ Apple Studio ร่วมกับ บิลลี เพรสตัน (Billy Preston) มือคีย์บอร์ดและนักดนตรีเจ้าของรางวัล Grammy Awards เป็นเวลาทั้งหมด 21 วัน

ส่วนในช่วงสุดท้ายของตัวหนัง เป็นการบันทึกการแสดงสดบนดาดฟ้า (Rooftop Concert) ของสำนักงานค่ายเพลง Apple Corps ที่ถนนซาวิลล์โรว์ (Savile Row) กรุงลอนดอน ในช่วงเช้าของวันที่ 30 มกราคม ปี 1969 ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีกำหนดการล่วงหน้าใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งถือเป็นการแสดงครั้งสุดท้ายก่อนประกาศแยกวง ส่วนตัวหนังออกฉายในอังกฤษในวันที่ 13 พฤษภาคม ปี 1970 ช่วงเดียวกันกับที่อัลบั้มวางแผง

โดยตลอดเวลาที่ผ่านมา สารคดี ‘Let It Be’ เป็นรายการในแคตตาล็อกของ The Beatles ที่ Apple Corps ไม่เคยมีการผลิตออกมาจำหน่ายอีกเลย มีเพียงแต่การลักลอบทำสำเนาจากฟิล์ม 16 มม. และจำหน่ายในรูปแบบเทป VHS และ Laserdisc แบบผิดลิขสิทธิ์และคุณภาพต่ำ เคยมีรายงานว่ามีการพยายามจะผลิตในรูปแบบ DVD แต่ก็ล้มเหลว เพราะมีกระแสว่าสมาชิกที่เหลืออยู่ของวงไม่ค่อยพอใจในสารคดีเรื่องนี้ รวมทั้งคุณภาพของต้นฉบับที่ค่อนข้างย่ำแย่ จนในปี 2016 แม็กคาร์ตนีย์จึงเปิดเผยว่า เขาเองก็พร้อม หากจะมีการนำสารคดีมาบูรณะใหม่อีกครั้ง นี่จึงถือเป็นครั้งแรกที่สารคดีเรื่องนี้มีการเผยแพร่ผ่านทางสตรีมมิง

ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากลินด์เซย์-ฮ็อกก์ Apple Corps ได้มอบหมายให้ Park Road Post Production ของแจ็กสันกลับมาบูรณะหนังเรื่องนี้จากต้นฉบับฟิล์มเนกาทีฟ 16 มม. ดั้งเดิม รวมทั้งการทำ Remastering เสียงด้วยเทคโนโลยี MAL de-mix ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกันกับที่แจ็กสันใช้ในโปรเจ็กต์สารคดี ‘Get Back’

ลินด์เซย์-ฮ็อกก์ ผู้กำกับสารคดี ‘Let It Be’ กล่าวว่า “แต่เดิมแล้ว ‘Let It Be’ พร้อมที่จะออกฉายในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ปี 1969 แต่ก็ไม่ได้ออกฉายเลยจนกระทั่งเดือนเมษายน ปี 1970 1 เดือนก่อนที่หนังออกฉาย The Beatles ได้ประกาศแยกวงกันอย่างเป็นทางการ ผู้คนจึงเข้าไปดู ‘Let It Be’ ในโรงหนังด้วยความเศร้าโศกในใจและคิดว่า ‘ฉันคงไม่ได้เห็น The Beatles อยู่ด้วยกันแบบครบวงอีกแล้ว ฉันคงจะไม่ได้มีความสุขแบบนั้นอีกต่อไป’ และมันก็ทำให้การรับรู้ของแฟน ๆ ที่มีต่อหนังเรื่องนี้จึงมืดมนมาก ๆ “

“แต่ในความเป็นจริง คุณจะได้เห็นศิลปินระดับนี้ ทำงานร่วมกันเพื่อให้สิ่งที่พวกเขาได้ยินในหัวกลายเป็นเพลงได้บ่อยขนาดไหนกัน แล้วจากนั้นคุณจะได้เห็นศิลปินขึ้นไปบนดาดฟ้า ได้เห็นความตื่นเต้น ความสนิทสนมซึ่งกันและกัน และความสุขที่แท้จริงของพวกเขาในการได้ร่วมเล่นดนตรีเป็นกลุ่มด้วยกันอีกครั้ง และรู้แก่ใจดีว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เรามองมันด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า แท้จริงพวกเขาเป็นใคร แม้จะยังคงเจ็บปวดอยู่เล็กน้อย ซึ่งผมเองทึ่งมาก ๆ กับสิ่งที่ปีเตอร์ได้ทำไว้ใน ‘Get Back’ โดยใช้ฟุตเทจทั้งหมดที่ผมถ่ายเอาไว้เมื่อ 50 กว่าปีก่อน”

Ringo Starr, Paul McCartney, John Lennon, and George Harrison in THE BEATLES GET BACK. Photo courtesy of Apple Corps Ltd

ในขณะที่แจ็กสันได้เปิดเผยว่า การบูรณะ ‘Let It Be’ ให้กลับมาในครั้งนี้เป็นไปเพื่อการเสริมเรื่องราวจากภาพยนตร์ต้นฉบับ ไม่ใช่เพื่อเข้ามาแทนที่ ‘Get Back’ ที่มีเนื้อหาขยายออกไปจากเดิม เนื่องด้วยหนังเรื่องนี้ถูกปล่อยออกมาหลังจากการแยกวง และแต่เดิม ‘Let It Be’ ถ่ายทำด้วยฟิล์ม 16 มม. ทำให้ต้วหนังมีรูปลักษณ์ที่ดูเศร้าหมองจนทำให้หนังถูกด้อยค่าลงไปในสายตาแฟน ๆ

ซึ่งการทำให้ ‘Let It Be’ กลับมามีรูปลักษณ์สดใสแบบเดียวกับ ‘Get Back’ นั้นก็เป็นไปเพื่อให้หนังต้นฉบับที่ถูกทิ้งร้างได้กลับมาถูกพบเห็นอีกครั้ง และเพื่อให้ทั้ง 2 ไตเติลนี้เป็นผลงานที่อยู่เคียงคู่กันไปตลอด ซึ่งแจ็กสันได้กล่าวถึงการบูรณะหนังเรื่องนี้ว่า

“ผมตื่นเต้นมากที่ภาพยนตร์ของไมเคิลได้รับการบูรณะ และได้รับการออกฉายอีกครั้ง หลังจากที่ไม่เคยได้ฉายมานานหลายทศวรรษ ผมโชคดีมากที่ได้เข้าถึง Outtakes ของไมเคิลใน ‘Get Back’ และผมคิดเสมอว่า จำเป็นจะต้องมี ‘Let It Be’ เพื่อเติมเต็มเรื่องราวใน ‘Get Back’ ที่มี 3 ตอน ควบคู่กันไปด้วย เราได้แสดงให้เห็นว่า ทั้งไมเคิลและ The Beatles ได้ถ่ายทำสารคดีเรื่องใหม่ที่แหวกแนวขึ้นมา และได้ออกฉายในปี 1970 และ ‘Let It Be’ ก็คือสารคดีเรื่องนั้น”

“และตอนนี้ผมคิดว่า มันได้กลายเป็นมหากาพย์เรื่องเดียวที่เสร็จสมบูรณ์แล้วหลังจากผ่านเวลากว่า 5 ทศวรรษ ซึ่ง ‘Let It Be’ คือจุดไคลแม็กซ์ของ ‘Get Back’ ส่วน ‘Get Back’ ก็ให้บริบทสำคัญที่ขาดหายไปสำหรับ ‘Let It Be’ ด้วย และลินด์เซย์-ฮ็อกก์ ได้ให้ความช่วยเหลือและแสดงความมีน้ำใจอย่างไม่ลดละ ในขณะที่ผมสร้าง ‘Get Back'”

“และมันก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ที่หนังต้นฉบับของเขาจะต้องเป็น ‘คำกล่าวลา’ ที่ฟังดูดีกว่าเมื่อตอนปี 1970 มาก ๆ “